ความเห็น: 78 - [6 ก.ค. 52, 11:30] ดู: 21,162 - [25 พ.ย. 67, 18:17] โหวต: 27
ในหลวงของเรา กับบางสิ่งที่เราไม่รู้
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
1
ก่อนอื่นผมไม่ทราบว่ามีน้าๆท่านใดได้ลงไว้ก่อนหรือเปล่า บังเอิญผมอ่านเจอ อ่านแล้วน้ำตาซึมครับเลยอยากเอามาแบ่งปันครับ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่านครับ ( หากซ้ำขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ )
เรื่องของ ในหลวง ที่เรา (อาจไม่เคยรู้)
เมื่อทรงพระเยาว์
1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45 น.
2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3. พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5. ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า " H.H Bhummibol Mahidol" หมายเลขประจำตัว 449
7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า "แม่"
8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า"บ๊อบบี้"
12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุก ขึ้นบ่อยๆ
13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14. ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่งพระอัจฉริยภาพ
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก "การเล่น" สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ ลังเพลง (แอกคอร์เดียน)
22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24. ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ "แสงเทียน" จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง "เราสู้"
26. รู้ไหม... ? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่ 5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "นายอินทร์" และ "ติโต" ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ "พระมหาชนก" ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น"กีฬาซีเกมส์") ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ "กังหันชัยพัฒนา" เมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ , ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
เรื่องส่วนพระองค์
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า"น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
งานของในหลวง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73 บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า "ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
ของทรงโปรด
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส. 100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส. 100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
รู้หรือไม่ ?
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า "ในหลวง" ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า "ทำราชการ"
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า"อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก"
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชั่วโมง ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระเกษมสำราญ มีพระพลานมัยแข็งแรงสมบูรณ์ มีพระชนม์ยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ. ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ...
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
มีนิตยสารหลายฉบับที่นำเสนอเรื่องราวของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติของพระองค์ท่าน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา
นัท-คุง ซื้อนิตยสารที่นำเสนอเรื่องราวของพระองค์ท่านไว้จำนวนหนึ่ง
แต่ยังไม่ค่อยจะได้มีโอกาสหยิบจับเท่าไร
(ที่จริงแล้ว ยังไม่ได้หยิบจับนิตยสารบางเล่มที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 49
อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีด้วยซ้ำ)
ที่ได้อ่านไปก็เป็น แพรว-รายปักษ์
ฉบับที่ 678 ปักษ์หลังประจำวันที่ 25 พ.ย. 50
คอลัมน์ "พ่อผู้พอเพียง"
ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นผู้เขียนและเรียบเรียงบทความนี้ (เพราะไม่ได้ระบุไว้)
เห็นว่าน่าประทับใจ และน่าจะเป็นประโยชน์กับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ บ้างไม่มากก็น้อย
จึงขอนำมาแบ่งปันกัน ณ โอกาสนี้ครับ
...
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
เคยเล่าถึงความพอเพียงของพระองค์ท่านผ่านแพรวว่า
เมื่อปี 2524 ผมได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตามเสด็จฯถวายงานเป็นครั้งแรก
"ผมพยายามจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างถึงพระราชจริยวัตรต่างๆ
"เครื่องใช้ต่างๆของพระองค์ท่าน
จนกระทั่งทรงรู้สึกพระองค์ว่าผมจ้องดูข้อพระหัตถ์ว่าทรงใช้นาฬิกาอะไร
"ก็ทรงยื่นให้ดูเลย ผมจึงจำแบบและรุ่นไว้
"แล้วไปดูที่ร้านขาย ปรากฏว่า 750 บาทเอง
นี่คือพระเจ้าแผ่นดินไทยนะ
"ผมตกใจว่าทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
"สามารถมีของใช้สารพัด ราคาแพงแค่ไหนก็ได้ แต่ไม่ทรงใช้
เวลาเสวย เครื่องเสวยก็เรียบง่าย ธรรมดา
"ไม่ทรงใส่พระราชหฤทัยว่าบนโต๊ะเสวยมีอะไรบ้าง
"ไม่เคยทรงปรุงหรือแต่งเติมอะไร
"ดูๆแล้วพระองค์ท่านทรงเหมือนพระ ละซึ่งอะไรต่างๆแล้ว
"เสวยของเรียบง่าย อาจมีบ้างที่มีรับสั่งว่า นั่นอร่อยนะ
ตรงกับคำบอกเล่าของนายทหารท่านหนึ่ง
ที่เคยตามเสด็จฯพระองค์ท่านไปตามที่ทุรกันดารว่า
สมัยที่พระองค์ท่านเสด็จฯพื้นที่กันดาร
"มีราษฎรคนหนึ่งนำถั่วฝักยาวมาถวาย
"พระองค์ท่านให้แม่ครัวเอาไปผัดน้ำมันกระเทียม แล้วก็เสวยจนหมด
ต่อมารับสั่งให้ผัดอีก คราวนี้ทางห้องเครื่องใส่กุ้งใส่หมูมาด้วย .
"พระองค์ท่านทรงมีรับสั่งว่า ไม่เอา แบบนี้เป็นอาหารของพระยา
คุณสมภพ หลุยลาภประเสริฐ
เจ้าของร้านยูไลย ซอยศาลาแดง
ผู้ถวายงานตัดฉลองพระองค์สืบต่อมาตั้งแต่รุ่นพ่อเล่าว่า
ตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (ยูไลย หลุยลาภประเสริฐ) เป็นเจ้าของร้าน
"คุณชูพาศน์ ชูโต ซึ่งเป็นผู้ถวายงานดูแลด้านฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เป็นลูกค้าตัดเสื้อกับร้านเราอยู่ก่อน
วันหนึ่งท่านพามิสเตอร์วัตสัน ช่างตัดฉลองพระองค์ชาวอังกฤษพร้อมชุดฉลองพระองค์มาให้คุณพ่อผมลองแก้ไข
ปรากฎว่าพอมิสเตอร์วัตสันเห็นผลงานก็พอใจ
"นำความไปกราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า ช่างร้านยูไลยทำงานได้ละเอียด
พระองค์ท่านทอดพระเนตรแล้วก็โปรดว่าคุณพ่อแก้ไขได้เรียบร้อยดี จึงทรงให้ทดลองตัดดู
"และจากนั้น (ปี 2500) ร้านเราก็ได้ตัดถวายมาตลอด ทั้งฉลองพระองค์ สูท ชุดทหาร ชุดบรรทม
ฉลองพระองค์ชุดแรกที่ผมตัดถวายเป็นฉลองพระองค์สูทสีเข้ม
"เฉลี่ยแล้วฉลองพระองค์ชุดหนึ่งพระองค์ท่านทรงใช้อยู่ประมาณ 8 10 ปี
"เรียกว่าถ้าทรงแล้วยังดีอยู่ก็จะทรงหมุนเวียนกลับมาทรงเรื่อยๆ
จะทรงยอมตัดใหม่เฉพาะในโอกาสพิเศษ
"หรือมีงานสำคัญต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น
อย่างฉลองพระองค์ชุดบรรทม พอนานปีเข้ายางยืดที่บั้นพระองค์ยืด
"ก็ทรงให้เปลี่ยนยางยืดใหม่ เรียกว่าต้องชำรุดจริงๆถึงจะทรงเปลี่ยน
หรือพระสนับเพลาบางองค์ก็เป็นรู
"เพราะเวลาทรงเล่นกับสุนัขทรงเลี้ยง เขาก็จะกัด
"ผมเห็นแล้วก็กราบทูลว่าอยากตัดถวายให้ใหม่
"พระองค์ท่านก็ทรงรับฟังเฉยๆ เสร็จแล้วก็ยังทรงใส่ตัวเดิมที่เป็นรูนั่นละ
ตั้งแต่ถวายการรับใช้มา พระวรกายเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
"มีระยะหลังที่พระวรกายสมบูรณ์ขึ้น
"ก็โปรดเกล้าฯให้ผมนำฉลองพระองค์ชุดเก่าไปขยายให้พอดี แล้วทรงนำไปใช้ต่อ
เพราะฉะนั้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านจึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผมเลย
"พระองค์ทรงปฏิบัติมานานก่อนที่จะพระราชทานแนวพระราชดำริให้คนไทยได้รู้กันด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องทรงทำแบบนี้ก็ได้
"ถ้าจะทรงใช้ฉลองพระองค์แบรนด์ดังๆก็ทรงทำได้
"แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงประหยัด มัธยัสถ์
ทำให้ผมคิดว่า ขนาดพระองค์ท่านซึ่งยังเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยั้งทรงปฏิบัติพระองค์แบบนี้
"เราในฐานะพสกนิกรก็ควรเดินตามรอยท่าน
"อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่เกินตัวก็ไม่ควรทำ
ด้านคุณศรไกร แน่นสีนิล หรือ ช่างไก่
เจ้าของร้าน ก.เปรมศิลป์ ย่านสี่แยกพิชัย
ก็เล่าถึงงานซ่อมฉลองพระบาทถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
ปี 2545 เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านหนึ่งได้ถือพานใส่ร้องเท้าเดินเข้ามาในร้าน
"ก่อนยื่นให้ผมแล้วค่อยก้มลงกราบพาน ผมก็ตกใจ ถามว่าเอาอะไรมาให้
เขาบอกว่าเป็นฉลองพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โปรดมาก แต่เก่าแล้ว ไม่รู้จะเอาไปซ่อมที่ไหน
โอ้โห...ผมขนลุกซู่ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีโอกาสดีๆแบบนี้
"เพราะร้านดังๆมีเยอะแยะ แต่กลายเป็นเราที่ได้รับโอกาสสำคัญทำงานนี้
จำได้ว่าบนพานนั้นเป็นฉลองพระบาทหนังสีดำ
"สภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานมาหลายสิบปี หนังข้างนอกหลุดลุ่ย
"ส่วนภายในก็ผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทิ้งไปแล้ว
"แต่พระองค์ท่านกลับให้เจ้าหน้าที่นำมาซ่อมเพื่อใช้งานต่อ
ผมใช้เวลาซ่อมเกือบเดือน ทั้งที่จริงแล้วทำไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ
"แต่เพราะอยากให้อยู่บ้านเรานานๆ (หัวเราะ)
ที่ประทับใจสุดคือ
"ตอนที่เลาะพื้นด้านในออกมาแล้วเห็นรอยพระบาท ตื่นเต้นมาก
เคยเห็นภาพข่าวพระราชกรณียกิจในทีวีมีคนไปรับเสด็จฯแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปูให้ทรงเหยียบ
"แต่นี่เราเห็นรอยพระบาทปรากฏชัด จะทิ้งได้อย่างไร
ผมก็เลยเอาใส่กรอบแล้วตั้งเอาไว้บนหิ้งสูงสุด ตกแต่งอย่างดี มีพานและผ้าคลุมพานสีเหลือง
ลูกค้าเห็นเข้าก็ถามว่าอะไร
"พอรู้ว่าเป็นฉลองพระบาทของพระองค์ท่าน ก็ขออนุญาตเอามาเทินหัวกันใหญ่
หลังจากนั้นผมมีโอกาสซ่อมฉลองพระบาทให้พระองค์ท่านอีก 4 คู่
คู่แรกเป็นฉลองพระบาทลำลองซ้ายที่ถูกคุณทองแดงกัดขาด ผมก็ปะตรงรอยที่ขาด
คู่ที่สองเป็นฉลองพระบาทแคชชูส์ผูกเชือกสีดำ ส่งมาแปะแผ่นกันลื่น
คู่ที่สามเป็นฉลองพระบาทบู๊ต ส่งมาเปลี่ยนยางยืดด้านข้างและจัดทรงใหม่
และคู่ที่สี่เป็นฉลองพระบาทบู๊ตสั้น ส่งมาเปลี่ยนพื้นด้านล่างทั้งสองข้าง
ฉลองพระบาทของพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างหนึ่งของความพอเพียงที่พสกนิกรของพระองค์ควรดำเนินรอยตาม
สารภาพก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยอยากมีอยากได้ อยากรวย
"แต่ตอนนี้ใจเบาขึ้นเยอะ เพราะรู้จักพอ ไม่ปรารถนามากกว่านี้
ถึงปัจจุบันร้านจะมีชื่อเสียง ผู้คนรู้จัก แต่ผมก็ไม่คิดจะขยายให้ใหญ่โต เปิดสาขา เพราะมีเท่านี้ก็พอแล้ว
เงินมีไม่มาก แต่มีความสุข เพราะผมมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่ในบ้าน
"นั่นคือรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าสูงสุดในชีวิตเราแล้ว
...
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
ใครขับรถถูกแล้วอาย ดูรูปนี้ครับ
กระทู้: 8
ความเห็น: 263
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 01-07-2551
กระทู้: 17
ความเห็น: 6,977
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-03-2545
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
***ในหลวงของปวงเรา** (ระวังน้ำตาซึมนะ)
อยากให้ทุกคนได้อ่าน
**ฉันอายตัวเองว่า
ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย
ยายซุป สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่งบ้านคุ้งโตนด
อำเภอกุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์
ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้ หากแต่เธอกลับยืนยันว่า
เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่
ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ
9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้หรือจะมั่งมีศรีสุข ถูกหวยรวยเบอร์
อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น
เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี
การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี
ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน ล้าหลัง ไม่มีแม้
ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
หากแต่การเสด็จพระราชดำเนินในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนถึงวันนี้
สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม?
ยาย-ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ
ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ ไอ้เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว
แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม
คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ
แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว
เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง?
ยาย-ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย
ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ?
ยาย-ไม่รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้
แต่ขอไปรับเสด็จก่อน แลกตัว แลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ
ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก เพราะน้ำแห้ง
เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน
แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม?
ยาย-ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง)
แล้วได้เห็นท่านไหม?
ยาย-ก็ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ
แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ
ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก
ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน
ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น?
ยาย-ตอนนั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว
พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร แล้ว
ทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ
ท่านทอดพระเนตรเห็น ก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า
เป็นอะไร? ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้ เราบอกว่าเจ็บ ท้อง
พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว? เราก็บอกว่า
เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู
แล้วหมอว่ายังไง?
ยาย-หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก
พอหมอบอกอยางนั้นพระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่งทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก
รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง?
ยาย-รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย
ห่างกันถึง 1 กิโล (แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้ว)
รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น?
ยาย-ดีใจแล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ไอ้ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่
คิดว่าตัวเองรอดแน่ มันมีกำลังใจ
คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้
พอในหลวงเสด็จมาถึง ทรงตรัสว่าอย่างไรหรือไม่?
ยาย-ท่านให้เอา ฮ. มารับ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง
ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อนพอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนก็หิ้วปีกเราไป
ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตู ฮ.
จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์
เราซาบซึ้งมากยิ่งบอกตัวของเราเลยว่าเราจะตายไม่ได้
ถ้าไม่มีในหลวงในวันนั้น ก็ต้องตายแน่?
ยาย-แน่นอน ไม่ต้องอะไรหรอก หมอบอกว่า มาช้ากว่านี้แค่ 2-3 นาที
ก็ไม่รอดแล้ว แล้ววันนั้นอย่างที่บอกว่าเรือเครื่องก็ไม่มี น้ำก็แห้ง
ไม่รู้ใช้เวลาครึ่งวันจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า
ถ้าในหลวงไม่เสด็จมาที่นี่ วันนั้นก็ตายแน่ ตายทั้ง ๆ
ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรตาย
เหมือนกับได้ชีวิตใหม่?
ยาย-ใช่ ชีวิตทุกวันนี้ถึงฉันแก่แล้ว
แต่เมื่อนึกถึงวันนั้นทีไรรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทุกที
ตอนนั่งดูโทรทัศน์ เวลาเห็นท่าน เราก็จะพนมมือไหว้ตลอด
รู้สึกว่าท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา
ตอนนั้นอยู่บน ฮ. เป็นอย่างไรบ้าง?
ยาย-จำไม่ค่อยได้
รู้แต่ว่าพอบินขึ้นไปพักใหญ่หมอก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง
เราพูดไม่ค่อยไหว แต่ก็บอกไปว่าปวดท้อง บน ฮ. นอกจากเรา ก็มีหมออีก 2
คน แล้วก็คนขับอีก 2 คน
จำได้แค่นี้ล่ะ
ฮ. พาไปที่โรงพยาบาลไหน?
ยาย-โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ เพชรบุรี
แล้วพักอยู่กี่วัน?
ยาย-ปกติคนเป็นไส้ติ่งทั่วไปเขาพักกัน 3-4 วันก็ออกได้แล้ว
แต่เราเป็นหนักต้องพักถึง 24 วัน ถ้าในหลวงไม่ช่วยก็ตายแน่
แล้วถ้าเราตาย ลูกเต้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ในหลวงท่านทรงเมตตา
ทรงดูแลเราอย่างดี ห้องที่เราพักอยู่นี่ดีมาก เป็นห้องพิเศษเลย พูดตรง
ๆ ว่าดีกว่าบ้านที่ฉันอยู่อีก หมอก็นิสัยดี
พูดจากับเราเพราะแล้วก็ใจดี
**ในหลวงท่านทรงห่วงใยเรามากมีคนมาเยี่ยม ถามอาการ
ถามสารทุกข์สุขดิบทุกวัน
คนใกล้ชิดพระองค์ ท่านก็ถามเรานะว่า จะฝากอะไรถึงท่านไหม เราบอกให้
พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พูดได้แค่นั้น
มันตื้นตันจนนึกไม่ออก**
หลังจากวันนั้นแล้วเป็นอย่างไร?
ยาย-ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกเลย ถ้าเรามีโอกาส
จะขอเข้าไปกราบแทบพระบาทเลย สิ่งที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราไว้
เป็นความซาบซึ้งที่สุดในชีวิตแล้ว
**คิดูสิโลกนี้จะหากษัตริย์อย่างท่านได้ที่ไหน
เราเป็นแค่ชาวบ้านจน ๆ แต่ท่านห่วงเราเหมือนเราเป็นลูก พระองค์ท่าน
ทรงห่วงเราเหมือนที่เราห่วงลูก
ท่านทรงเสียสละแม้กระทั่งของส่วนพระองค์
ทรงยอมลำบากกลับทางเรือเพื่อคนอย่างเรา พูดตรง ๆ
ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ทดแทนไม่หมด**
กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร?
ยาย-ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1
ปี ครั้งละ 3-5 พันบาท ส่งมาหลายครั้งอยู่
เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เรารักในหลวงของเรามาก
แล้วทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ว่า เวลาที่ท่านป่วย
เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า ไปแสดงความจงรักภักดีกับท่าน
ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน
ดูข่าวทุกวันไม่เคยเว้นเลย
**ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา
แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย**
การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่?
ยาย-มีส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร
ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่วไปไหนไปกัน
มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ
ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป
ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้
นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ
**เมืองไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ
ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้วที่จะเป็นห่วงชาวบ้านอย่างฉันเท่ากับท่าน
คนอย่างเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก แต่ท่านก็ยังใส่ใจ ท่านใส่ใจจริง ๆ
เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
กระทู้: 10
ความเห็น: 293
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 07-05-2552
เรา รักในหลวง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
กระทู้: 156
ความเห็น: 80,534
ล่าสุด: 24-11-2567
ตั้งแต่: 07-07-2545
กระทู้: 10
ความเห็น: 863
ล่าสุด: 06-11-2567
ตั้งแต่: 13-02-2552
ผมรักในหลวง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
กระทู้: 1
ความเห็น: 49
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 23-05-2552
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
กระทู้: 14
ความเห็น: 1,773
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 05-05-2552
กระทู้: 16
ความเห็น: 166
ล่าสุด: 15-11-2567
ตั้งแต่: 05-08-2545
กระทู้: 38
ความเห็น: 5,689
ล่าสุด: 25-11-2567
ตั้งแต่: 11-06-2551
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน
กระทู้: 3
ความเห็น: 141
ล่าสุด: 08-10-2567
ตั้งแต่: 05-05-2545
กระทู้: 9
ความเห็น: 7,138
ล่าสุด: 02-05-2567
ตั้งแต่: 24-01-2552
กระทู้: 1
ความเห็น: 19
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 04-06-2551
ขอทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
กระทู้: 51
ความเห็น: 6,461
ล่าสุด: 18-11-2567
ตั้งแต่: 20-05-2552
+++ผมรักในหลวง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ+++
กระทู้: 49
ความเห็น: 14,676
ล่าสุด: 30-04-2567
ตั้งแต่: 26-05-2551
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ.........
กระทู้: 81
ความเห็น: 15,503
ล่าสุด: 24-11-2567
ตั้งแต่: 06-02-2551
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน[b]
กระทู้: 54
ความเห็น: 6,957
ล่าสุด: 30-04-2567
ตั้งแต่: 08-01-2551
กระทู้: 7
ความเห็น: 1,944
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 18-04-2551
กระทู้: 55
ความเห็น: 381
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 21-03-2552
ถึงผมเกิดมาท่านก็ชรามากเเล้วเเต่ผมก็เห็นท่านทำงาน
เเม่เเละคนเก่าเเก่บอกผมว่าที่ท่านทำตอนนี้ไม่ถึงเสี้ยวที่ท่านทำตอนยังหนุ่ม
ซึ้งครับ
กระทู้: 3
ความเห็น: 130
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 16-01-2552
กระทู้: 55
ความเห็น: 381
ล่าสุด: 27-01-2566
ตั้งแต่: 21-03-2552
มีเรื่องนึงตอนท่านไปเข้าที่ดูงานทุรกันดารท่านไปคนเดียวเเล้วรถติดหล่ม
ก็มีเด็ก2คนมาช่วยเข็นเข็นเสร็จท่านก็ถามว่าเคยเห็นในหลวงไหมเเล้วท่านก็หยิบเเบงค์มาให้ดู
เด็ก2คนนั้นถึงกับล้มฟุบ
นี่เรื่องจริงตอนนี้เด็ก2คนนั้นยังมีชีวิตอยูเเต่เเก่มากเเล้ว