การดำรงชีวิตในรูปแบบมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นจากการใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมา หาเงินใช้ช่วยเหลือที่บ้านตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา เมื่อได้ใบปริญญามา ก็เอาไปเร่ขายในตลาดแรงงาน บอกกล่าวเล่าขานสรรพคุณอวดอ้างตัวเองว่า อันตัวข้าฯ นั้นหนา มีดีกรีแบบนี้ แสนดีอย่างงั้น ขอขายตัวของฉันในราคาเท่านี้ ใครจะซื้อเอาไปเป็น “เครื่องไม้ - เครื่องมือ” ในการประกอบกิจการบ้างไหม ในวันหนึ่งเมื่อขายออก ก็เอาวิชาที่เรียนมากับเวลาในชีวิต (8 ชั่งโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์) แลกกับค่าตอบแทนเป็นเงินรายเดือน ซื้อข้าว น้ำแข็ง โซดา อีกทั้งกับแกล้มต่าง ๆ นานา ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน แต่งเมีย ซื้อเบ็ดตกปลา กล้องถ่ายรูป และปืนผาหน้าไม้ ฯลฯ ตอบสนองกิเลสแห่งความอยากให้กับตัวเอง ส่วนใครจะอยากได้อะไร ใส่หัวโขนอะไร เล่นบทบาทไหนในสังคม ก็หาซื้อความอยากนั้นมาสนองรสนิยมกันเอาเอง...ก็แล้วกัน
แล้ววันหนึ่ง “กาละ” ก็จูงมือลูกจ้าง ไปแนะนำให้รู้จักกับ
“ความชรา” ทั้งก่อนวัยอันควรและสมควรแก่วัยก็ตาม ส่วนสาเหตุของความชราก่อนวันนั้น ก็โยนความผิดให้กับ “ความเครียด” ไป (เฉกเช่นเดียวกับกรณีไฟใหม้ ก็มักโยนสาเหตุให้กับ “ไฟฟ้าลัดวงจร” เป็นต้น) ความชราเช่นว่านี้ ถ้าหากเกิดขึ้นกับลูกจ้างที่
“ทน-ทำ-งาน” มานานแสนนาน จนกระทั่งถึงวันที่มีอายุไขครบ 5 รอบนักษัตร(แซยิด) ถือเป็นเหตุร้ายแรงอย่างหนึ่ง ที่นายจ้างสามารถบอกเลิกการจ้างงานได้ (แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทน/ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน) พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ
“ไล่ออกจากงาน” (ภาษาในสัญญาจ้างแรงงานเรียกว่า “ครบกำหนดระยะเวลาการจ้างงาน” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันโดยทั่วกันว่า “เกษียณอายุ”) ดังนั้น สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่า
“ความแก่” ตัวลงนั้นเป็นเหตุให้(ลูกจ้าง)ถูก “เลิกจ้าง” ได้...นั่นเอง