พอมาถึงที่กะรังนกแก้ว (ผมขอเรียกตามที่คนท้องถิ่นหรือชาวเรือที่นี่เรียกกัน เพราะบางท่านก็เรียกว่ากะรังลูกแก้ว......) ต่างคนก็ต่างตี ตีกันอยู่ 2-3 คน ผลัดกันตี เห็นเรือลำอื่นๆก็มารอตีใส่ฝูงอยู่ 4-5 ลำ เพราะตีไปแล้วปลาไม่ฉวยเหยื่อเลย ขนาดตีผ่ากลางฝูงก็ไม่เอาเลย หลายลำที่รอคอยกัน วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 49 เรือประมาณ 5-6 ลำตอนเย็นซึ่งมาเพิ่มเรื่อยๆ ก็ต่างๆรอตี จนถึงตอนเย็น ฝูงขึ้นข้างเรือที่ผมอยู่ และก็มัวดันไปมัดตัวเบ็ดอยู่ วิ่งไปที่หัวเรือแล้วหยิบคัน ลีเม๊ก รอกอัลเทก้า8000 ได้ก็หวดไปครั้งเดียวไม่ถึงฝูง ลอกเจิ๊กเข้ามา โบ๊ะ ๆ..ๆ....ตูมม....สนั่นลูกกะตาหลายๆท่านที่เห็น สายถูกกดดำดิ่งลึกลงไปไม่สิ้นสุด ขนาดคนดึงสายออกจากสปูลยังดึงไม่ได้ แต่ปลากะมงตัวที่เข้าฉวยเหยื่อป๊อบเปอร์ของผมมันดึงออกได้ ไปอย่างเดียว 20 วินาทีต่อมา หางของมันคงไปเสียสีกับสาย ช๊อกรีด 200 ปอนด์เข้า ขาดผึงหง๋ายหลังลงบนหัวเรือ.........................
เสียดายมากครับ เพราะความไม่รู้ของผมเอง เพราะพยายามปิดเบรคให้แน่นลืมคาดคะเนอะไรไปหลายอย่าง มาฟังพี่เหนี่ยวพูดว่า ปล่อยมันวิ่งไปเลย เพราะน้ำมันก็ลึก3-40 เมตร สปูลก็ยังพอไหวอยู่.....ผมก็นั่งซึ่มและเป็นไข้ไปเลย....55555
เพราะในขณะเดียวกันคันอีกคันที่มีเหยื่อยู่พี่เหนี่ยวเป็นคนตีเองบนหลังคาเรือ แต่ดันตีไปติดธงชาติ พี่แกคงรักชาติอะครับ 5555 เกือบ 6 โมงเย็นวันนั้น มีลุ้นเพียง 2 ตัว อีกตัวเป็นของนายหนังเชษ กินเหยื่อหมึกเป็นลอยสายเข้าหายอดเขาใต้น้ำ มันก็ไปอย่างเดียว ไปไม่หยุด.....หน้าแกซึ่มๆว่าจะหมดหลอดแล้ว สุดท้ายใกล้ติดแกนสปูลที่สายจะหมด..อิสระก็เป็นของปริษณาใต้น้ำต่อไป....แต่ได้สายเอ็นคืนมา รอกที่นายหนังใช้คือรอก อบต.ที่ดังฮิตติดปากชาวเหนือที่ไปเล่าให้พวกในเรือฟังและฮาตรึม 55555555 อยากรู้ว่ารอกรุ่นไหนโทรไปหาป๋าเหนี่ยวดูเอาน่ะครับ.........
หลังจากฟ้ามืดที่กะรังนกแก้วก็ถอนสมอกลับไปที่หลังอาดัง เพื่อหาเหยื่อหมึกต่อ เพราะที่กะรังนกแก้วน้ำแรงมากๆ...ตะกั่วกี่โลๆ ปลิวหมด......ถอดใจไปแถวอาดังกัน.......