สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 มี.ค. 67
Line in my hand : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความตกปลา
ความเห็น: 4 - [15 ก.ค. 45, 17:21] ดู: 2,389 - [28 มี.ค. 67, 10:37] ติดตาม: 1 โหวต: 2
Line in my hand
สีว์ พิมล
13 ก.ค. 45, 20:46
1
Line in my hand
ภาพที่ 1
ส่งบทความของสีว์ พิมลมาให้อ่านกันเล่นๆ ครับ สิงห์ ปล.
ผมมีเวลาตัดสินใจไม่นานเลย สำหรับคำตอบของคำถามที่เร่งเร้ามาทางโทรศัพท์โดยหนึ่งในสาวสามคน ซึ่งเคยเที่ยวปีใหม่กับผมมา 4 ปีรวดแล้ว
"อะไรกัน เคยพาไปเที่ยวทุกปี ปีนี้เบี้ยวกันได้ไง ?" เสียงตัดพ้อ
"แหม ก็มันปี 2000 Y2K นะครับ ผมกลัวคอมพ์พัง ขอนอนดู TV อยู่บ้านดีกว่า"
"คอมพ์ กับ พวกชั้น อะไรสำคัญกว่า.. ?!.."
"คอมพ์สิวะ!.. เครื่องมือหากินของตู" ผมตอบในใจแต่ไพล่ไปพูดว่า
"เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวหลังจากพ้นปัญหา Y2K ผมจะพาไปเที่ยววันที่ 2 กับ 3.. สองวันค้างคืนหนึ่งก็แล้วกัน พาขึ้นรถทัวร์เที่ยวแบบพอสนุก"
"เอาๆ ไปๆ  แต่จะไปไหน?"
บอกแล้ว… ผมมีเวลาคิดไม่นาน…
……………………………………….
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเป็นความยากลำบาก สำหรับการขนคันเบ็ดและอุปกรณ์ขึ้นรถทัวร์ไปไหนต่อไหน แต่เป็นเรื่องขี้เกียจเสียมากกว่า สำหรับทริพเที่ยวประเดิมปี 2000 ผมคิดว่ามันไม่คุ้มเลยกับการขนคันเบ็ดและอุปกรณ์ไปตกปลากับพวกสาวๆ สามคน ซึ่งเชื่อได้ว่าไม่นานเธอก็ต้องเบื่อ แล้วผมนี่แหละก็ต้องรับผิดชอบอุปกรณ์เหล่านั้น ตั้งแต่แบกขนไปจนกระทั่งเก็บ
ที่ท่ารถเอกมัย หลังจากทักทายเมื่อเห็นหน้า หนึ่งในนั้นก็เดินวนรอบตัวผมอย่างพิเคราะห์
"ไหนล่ะ คันเบ็ด! ไปทะเลทั้งที ไม่เอาคันเบ็ดไปหรือ เธอเป็นนักตกปลาภาษาอะไร?"
ผมยิ้ม เตรียมคำตอบไว้แล้ว
"โธ่! มากับผม ไม่ตกปลาเป็นไปได้ไง เดี๋ยวเราไปถึงเกาะแล้วค่อยไปหาซื้ออุปกรณ์แล้วมาประกอบเอง เดี๋ยวผมซื้อให้คนละชุดเลย ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่" ผมอมยิ้ม เพราะทำเอาสาวๆกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
"..แฮนด์ไลน์.. นะโว้ย!.. เอาไปคนละชุด" ผมตะโกนดังลั่นอยู่ในใจ
ด้วยค่าใช้จ่ายคนละ 47 บาท ในเวลาสองชั่วโมงโดยประมาณ รถโดยสารปรับอากาศชั้นสองก็พาเรามาถึงอำเภอศรีราชา ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงสิบโมงเศษเท่านั้น ผมคิดว่ามันยังเช้าเกินไปสำหรับการข้ามไปที่เกาะสีชัง ก็เลยเปลี่ยนปรับโปรแกรมเล็กน้อยด้วยการพาสาวๆไปเที่ยวเกาะลอยเสียก่อน

                                                                    ………………………………..

มือซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นครีบแผ่แบนยาวกว่าสัตว์ชนิดอื่นในชาติพันธุ์เดียวกับมันมากนัก กำลังโบกพัดอย่างรวดเร็ว ทำให้มันส่งตัวเข้ามาใกล้หมึกที่เราโยนลงไปในบ่อเต่าทะเลชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เต่าตนุ หรือ เต่าแสงอาทิตย์ (Green Turtle: chelomia mydus) ซึ่งชื่อหลังของมันนั้นได้มาจากลวดลายของกระดอง ซึ่งเหมือนประกายแสงอาทิตย์หลากสีอยู่บนพื้นกระดองสีเขียวเข้ม
เต่าตนุ เป็นเต่าทะเลที่มีแพร่กระจายอยู่ทั่วไป ชาวยุโรป เรียกมันว่า "เต่าเขียว" ซึ่งมาจากพื้นกระดองที่เป็นสีเขียว และจากน้ำมันของมันซึ่งเป็นสีเขียวเช่นกัน เนื้อของเต่าตนุเป็นที่นิยมของอั้งม้อมาก เขาจะนำมันไปทำซุป จัดได้ว่าเป็นอาหารเลิศรสราคาแพง แต่คนไทยกลับนิยมกินไข่ของมันมากกว่า
ไข่เต่าตนุ ถือว่าเป็นอาหารระดับยอดเยี่ยม ขนาดอลัชชีคนดังของไทย ซึ่งปัจจุบันหนีไปตั้งสำนักอยู่ที่อเมริกาอย่างลอยนวล นับถือให้มันเป็น "อาหารดับกิเลส"(แต่เพิ่มราคะ) ซึ่งต้องให้สาวกผู้งมงายไปควานหามาถวาย แม้ว่ามันผิดกฎหมาย
ไข่ของเต่าตนุ รู้จักกันดีในชื่อ "ไข่จาละเม็ด" นั่นเอง
นอกจากเนื้อและไข่ที่เป็นอาหารเลิศรสแล้ว ความสวยงามของ "กระดอง" ทำให้มันถูกล่ามาทำเครื่องประดับและตกแต่งบ้าน ส่งผลให้มันลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว จนน่าเป็นห่วงว่าจะสูญพันธุ์ จึงต้องมีการประกาศให้มันเป็นสัตว์น้ำคุ้มครองตามกฎหมาย และมีหน่วยงานหลายหน่วยมีหน้าที่คุ้มครองและขยายพันธุ์ของมัน
เต่าตนุ หลายตัวซึ่งว่ายมาแย่งหมึก (เกือบเน่า ราคากล่องละ 10 บาท) ที่พวกเราโยนให้นั้น เป็นเต่าที่ถูกเพาะเลี้ยงขึ้นมา หลังจากขุดไข่ของมันขึ้นมาจากทรายที่ชายหาดเพื่อนำมาเพาะฟักและอนุบาล บางส่วนของลูกเต่าที่เหลือจากการปล่อยคืนสู่ทะเลจะถูกเก็บไว้เพื่อการศึกษา
ผมดูพวกมันว่ายน้ำอยู่ในบ่อที่เกาะลอย ซึ่งเป็นบ่อเลี้ยงให้ประชาชนได้มาชมและศึกษามัน ดูไปแล้วมันก็มีความสุขดีตามอัตภาพ เพราะพวกมันไม่เคยรู้ว่าทะเลอันกว้างใหญ่นั้นเป็นเช่นไร
แต่คนที่มีความสุขยิ่งกว่า เห็นจะเป็นหนึ่งในสามสาว ซึ่งเป็นนักดำน้ำ ที่มีประสบการณ์ค่อนข้างสูง เธอกำลังยกกล้องกดชัตเตอร์ถ่ายภาพเต่าในบ่ออย่างเมามัน พลางบอกว่า.. "ไม่ต้องไปถ่ายถึงใต้ทะเลให้เสียเวลา"..
……………………………….
เลยจากบ่อเต่า หลังจากพาสาวๆขึ้นไปไหว้พระแล้ว ผมก็พาเดินวนรอบเกาะ
"เกาะลอย" ยังเป็นแหล่งตกปลายอดนิยมเช่นเดิม และวันนี้ดูจะสะดวกมากขึ้นอีก เนื่องจากมีสะพานปูนรอบเกาะ และมีการทิ้งหินทำเขื่อนกันคลื่นอย่างเรียบร้อยสวยงาม
ที่นี่  ราวเกือบ 10 ปีมาแล้ว ผมเคยมาเฝ้าปลา กะพงขาว ซึ่งต้องตกด้วยเหยื่อ ปลากระบอก ที่ได้มาจากการทอดแห
ย้อนหลังไปจากนั้นราว 20 ปี ผมเคยมายืนดู โลมา สองตัว โดดโลดเต้นโชว์และเชื่องจนเข้ามาว่ายใกล้ๆเด็กๆ ที่ยืนเล่นน้ำอยู่ตรงหาดทรายแคบๆ ที่ระดับความลึกไม่เกินเข่า
ไม่มีใครกล้าลงไปลึกกว่านั้น เพราะที่นี่เป็นแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยฝูงฉลามอันดุร้าย
แต่วันนี้ แม้แต่การเฝ้าตก กะพงขาว ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องเหลวไหล
ผมดูนักตกปลาหลายรุ่นหลายวัยเฝ้ารอคอยปลาอย่างใจจดใจจ่อ จากการสังเกตเหยื่อและชุดปลายสาย ขนาดของตัวเบ็ด ฟ้องผมได้ดีว่าพวกเขาไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าปลาตัวเกินฝ่ามือ และจากการเฝ้าดูพักเดียวผมก็ได้เห็นผลงานของเขาเหล่านั้น
มันเป็น ซ่อนทราย หรือที่เรียกกันว่า เห็ดโคน (Silver Silago) ตัวขนาด 6 นิ้ว สลับกับปลาในสกุล แป้นแก้ว (Mojarra) ตัวขนาด 3-4 นิ้ว
ผมยังไม่เชื่อว่าที่ เกาะลอย นี้จะไม่หลงเหลือปลาขนาดใหญ่อยู่ และมองมันอย่างมาดมั่นว่า สักวันหนึ่งจะต้องมาพิสูจน์ความเชื่อนี้
……………………………….
เรือโดยสารขนาด 80 คน นำเรามุ่งสู่เกาะสีชัง ด้วยอัตรา 20 บาทต่อหนึ่งคน มันมีวิ่งทุกชั่วโมงตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็น
คนขับพาเราลัดเลาะไปตามช่องว่างระหว่างเรือสินค้าลำมหึมา ที่จอดกันอยู่เป็นร้อยๆ ลำ ขนาดของมันใหญ่มากจนผมถึงกับภาวนาให้มันจมลงสักลำหนึ่ง เผื่อว่าจะได้เป็นหมายเรือจมที่ใกล้ฝั่งที่สุด แต่ต้องไม่เป็นเรือบรรทุกน้ำมัน เพราะผมไม่อาจทนเห็นทะเลถูกย่ำยีอย่างโหดร้ายได้
เรือจอดส่งผู้โดยส’รจุดแรกที่ เกาะขาม ก่อนที่จะเข้าสู่เกาะสีชัง
เกาะขาม เป็นอีกแห…่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นแหล่งตกปลาชายฝั่งระดับเยี่ยม แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองดูสักที
เรือแวะที่ ท่าล่าง หรือ ท่าเทววงษ์ ก่อนที่จะไปจอดที่ ท่าบน หรือ ท่าภาณุรังษี  ผมเลือกขึ้นที่ท่าล่างเพราะคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้มากกว่า และเมื่อขึ้นสู่ท่า ผมก็พาสามสาวเดินเอื่อยๆ ไปหาอะไรกินมื้อกลางวันในตลาด โดยไม่สนใจคำชักชวนเที่ยวรอบเกาะของสามล้อ
..ก็ผมมีขาประจำกันอยู่นี่ครับ
และเมื่อนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ยังไม่หมดชาม นิพล สามล้อเบอร์ 38 ก็ขับรถผ่าน ผมโบกมือให้ เขาพยักหน้าและโบกมือตอบ แต่ขับรถเลยผ่านไป
แค่นั้นก็รู้กันว่า เขากำลังไปรับผู้โดยสาร แต่เดี๋ยวจะมา
ไม่เกินสิบนาที เราก็อยู่บนสามล้อของนิพล มุ่งสู่ทางด้านหลังของเกาะโดยทิ้งตลาดท่าล่างไว้เบื้องหลัง จุดมุ่งหมายของเราคือบังกะโลว์ ที่มองเห็นวิวทะเลสวยๆ เล่นน้ำได้ด้วย และจากการพาไปของสามล้อเบอร์ 38 เราก็ได้ที่พักแบบนั้นจนได้
"เล่นน้ำ!..ต้องเล่นน้ำ!!.. ไปเล่นน้ำกัน…" สาวๆ ชักชวน
ผมหรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ จริงๆ แล้วผมขี้เกียจตากแดด..และอยากนอน
"ไว้เย็นๆ ค่อยเล่นไม่ดีกว่าเหรอ ตอนนี้แดดร้อน เดี๋ยวผิวสวยๆ ของพวกเธอจะหมองคล้ำเสียเปล่าๆ"
"โธ่! อุตส่าห์มาถึงแล้ว จะนั่งทำอะไรนี่" หนึ่งในนั้นบ่น
ผมลากเป้ของตัวเองมาเปิดพลางหยิบโยนของสิ่งหนึ่งลงบนเตียง
"มาเล่น Slave กัน !!"
Slave เกมส์ไพ่อย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักศึกษา (ซึ่งไม่ใช่การพนันที่ผมไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว) สะกดสาวๆ ให้นั่งอยู่กับที่ได้เสมอแม้ว่าจะไม่เคยเล่นมาก่อน

…………………………………..

ค่ำคืนนั้นที่ร้านอาหารซึ่งผมคุ้นเคย สาวๆ ต่างไปรุมแย่งนักร้องตัวจริงทำหน้าที่ เด็กเสิร์ฟกำลังรินเหล้าให้ ผมมองจานปลาทอดที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง พลางนึกขอบคุณปลาตัวนี้อยู่ในใจ
…………………………..
"อะไร ??..ไม่ได้ซื้อคันแบบมีรอกหมุนให้พวกเราเหรอ ?!?" พวกเธอถาม
โอ้ย!.. ไม่เหมาะ.. ไม่เหมาะ !! เป็นผู้หญิงสาวสวย ตกปลาใช้คันเบ้อเริ่มยาวสิบฟุตได้ไง เสียชื่อกุลสตรีหมด เหวี่ยงแล้วกล้ามขึ้นนะครับ เดี๋ยวผมทำแฮนด์ไลน์ให้พวกคุณคนละชุดดีกว่า ถือแล้วสวยสมเป็นกุลสตรี"  ผมตอบพลางหันไปบอกกับนิพลซึ่งมารับเราตอนเย็นว่าให็ไปตลาดท่าล่างเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำ แฮนด์ไลน์ สัก 3-4 ชุด
"ไม่ต้องซื้อหรอกครับพี่ แฮนด์ไลน์ที่บ้านมีเพียบ หรือพี่จะเอาคันเบ็ดกันไหมล่ะครับ ชุดสปินฯของผมก็มี" นิพลว่า
"ไม่เอา ไม่เอา เดี๋ยวกล้ามขึ้น" สามสาวตอบพร้อมกัน
ระหว่างที่สาวๆ แวะซื้อเสบียงประเภทขนมขบเคี้ยว ผมแอบกระซิบถามนิพล
"น้ำลงอย่างนี้จะมีปลาไหม ?"
"พอลุ้นได้พี่ แต่เป็นปลาเล็ก ปลาใหญ่คงไม่มีหรอก" นิพลตอบ ซึ่งผมฟังแล้วก็ใจชื้นขึ้น
………………………………….
..ผมมองอย่างขำๆ..
หนึ่งในสาม เก็บม้วนสายกระป๋องขึ้นทันทีที่เห็นเพื่อนหัวคะมำ  อีกคนถอยห่างจากขอบท่าเข้าไป 1 เมตร ส่วนคนที่พึ่งประสบกับมันมาหยกๆ นั่งๆยองๆเอามีกุมหัวใจ
เมื่อสองนาทีที่ผ่านมา เธอถูกเจ้าสลิดหิน (Spinefoot) ขนาดราวสามปอนด์ ฉุดกระชากแทบตกน้ำตกท่าจนร้องเสียงหลง ผมยืนหัวเราะดูเธอสักครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า มันเป็นอาหารเย็นที่แสนจะเข้าท่า
มันแถเข้ามาใกล้ท่าเรือแล้ว แต่พลังฉุดดึงยังไม่น้อยลงเลย ผมผ่อนสายให้มันทีละนิดเพราะสายที่เหลืออยู่ในกระป๋องมีไม่ถึง 2 เมตรแล้ว แต่หลังจากขืนไว้ครู่เดียว ผมก็เริ่มเก็บสายเข้ามาได้
ความรู้สึกถึงการดิ้นรนของมันผ่านปลายสายเข้าสู่มือทั้งสองข้างของผมโดยตรง เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับการใช้รอกและคันอย่างสิ้นเชิง มันทำให้ผมคิดว่า การต่อสู้ระหว่างมันกับผมมีความห่างกันแค่เพียงสายเบ็ดกั้นเท่านั้น
ผมเลี้ยงสายดึงมันไว้ ระหว่างชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดีกับมัน ท่าเรือในตอนนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำถึง 3 เมตร ด้านซ้ายมือของผมมีบันไดทอดลงไป ผมจะลากมันขึ้นมาเลยดี หรือจะลงบันไดที่ลื่นไปด้วยตะไคร่น้ำ ลงไปเอานิ้วเกี่ยวเหงือกหิ้วมันขึ้นมา
นึกถึงเงี่ยงตามครีบที่แหลมคมของมันแล้ว ผมก็ตัดสินใจสาวมันขึ้นมาจากน้ำที่อยู่ต่ำลงไปสามเมตร…
มันเป็นสลิดหินขนาดใหญ่ไม่เลวเลย
……………………………………
ตีหนึ่ง เหล้าหมดไปกว่าครึ่ง สาวๆยังร้องเพลงกันไม่เลิก ผมเอาส้อมจิ้มเนื้อปลาสลิดหินทอดมากินแกล้มเหล้า พลางนึกอะไรต่ออะไรเพลินๆ…
มันช่างเป็นการเที่ยวปีใหม่ที่ไม่เลวเอาเลยทีเดียว
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024