สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 มี.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 4 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 6 - [21 ก.ค. 64, 19:26] ดู: 1,695 - [28 มี.ค. 67, 23:06] ติดตาม: 1 โหวต: 4
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 4
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
14 ก.ค. 64, 13:03
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 4
ภาพที่ 1
บทที่ 17

ตอนที่ 4

      “นี่มันปืนคาบศิลา”

      “ปืนแก๊ป ปืนคาบศิลาจริงๆ ดูที่นกสับนี่สิ มีก้อนหินเหน็บติดอยู่ด้วย”พรานพรร้องด้วยอาการตื่นเต้น พลางส่องไฟฉายจับไปที่ กลไกหรืออีกนัยหนึ่งก็คือส่วนที่เป็นนกสับดินปืน ซึ่งพอที่จะมองเห็นก้อนหินก้อนสีเทาๆขนาดไม่เกินหัวแม่มือ เหน็บติดอยู่กับเหล็ก ลักษณะงอๆเหมือนจะสามารถง้างออกมาได้ในเวลายิง แต่ตอนนี้สนิมที่เกาะกินอยู่จนแทบจะผุกร่อน จึงทำให้ไม่สามารถจะขยับกลไกชิ้นนั้นได้ แต่ถึงจะมีสนิมเกาะกรังอยู่ แต่ก็ยังพอมองเห็นเป็นเค้าโครง ว่ามันอยู่ในตำแหน่งที่เจ้าของปืน ได้ยิงหรือลั่นกระสุนออกไปแล้ว แต่ไม่ทันที่พรานทั้งสองจะว่า หรือพิจารณาอะไรกันต่อ เสียงเอะอะของฝั่งตรงข้ามก็ดังแซ่ขึ้นมาอีก

      “วู้”

      “น้าเบ น้าพร ทางนี้ก็มีอีกศพหนึ่ง”พรานแปะร้องบอกเสียงเอ็ด พลางส่องไฟฉายโบกไปมา ฝ่าสายหมอกเป็นสัญญาณมาที่พรานทั้งสอง ซึ่งระยะของตำแหน่งของทั้งสองกลุ่ม ห่างออกไปไม่มากนัก พอที่จะมองเห็นบุคคลทั้งสองกลุ่มเป็นเงาตะคุ่มๆ เพราะมีม่านหมอกมาปกคลุม จึงทำให้สังเกตุอะไรได้ไม่ถนัดนัก แต่ระยะก็คงไม่ห่างกันมาก อย่างมากก็ไม่เกินยี่สิบวา

      “พวกเอ็งดูกันให้ดีๆ เพื่อจะเจอเพิ่มอีก”

      “เดี๋ยวพวกข้าจะขึ้นไปดูด้วย”พรานโส่ยร้องบอกเสียงเอ็ด ก่อนที่จะพากันไต่ขึ้นไปสมทบกับพรานแปะ โดยมีเจ้าเคิ้ง และเหน๋อตามติดไปด้วย มีเพียงเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้น ที่ได้แต่ตะกุยตะกายตลิ่งห้วย ร้องหงิ๋งๆ เพราะไต่ตามขึ้นไปไม่ได้

        “เออ เฮ้ย กระดูกคนจริงๆ”

        “ป่าช้าหรือเปล่าวะนี่”พรานโส่ยว่า หลังจากตามไปดูโครงกระดูกที่พรานแปะพบ สวนพรานเบ และ พรานพร ต่างส่องไฟวูบวาบ อยู่ในตำแหน่งเดิม เหมือนจะยังไม่แน่ใจอะไรบ้างอย่าง ซึ่งพรานนำทางได้ร้องบอกว่า จะตามไป ขอส่องไฟดูรอบๆเสียก่อน และขออย่าให้ใครไปแตะต้อง หรือกระทำการณ์ใดๆกับโครงกระดูกนั้น ยกเว้นแต่ว่าให้ช่วยกันปัดกวาดเศษใบไม้ ที่ปกคลุมอยู่รอบๆให้เตียนโล่งเท่านั้น เห็นหรือพบเจออะไร ก็อย่าได้ไปรื้อค้น

      “นี่มันน่าจะเก่ามากพอดู ปืนคาบศิลา มันมีใช้มาก่อน ที่จะมีปืนแก๊ป”

      “รุ่นปู่ หรือ รุ่นพ่อข้า อาจจะทัน แต่ก่อนหน้านั้นข้าก็เห็นเขาใช้แต่ปืนแก๊ปกันทั้งนั้น”พรานเบบอกออกมาเสียงแผ่วต่ำ พลางใช้เท้ากวดไล่เศษใบไม้ที่กลาดเกลื่อนอยู่ตามพื้น บริเวณรอบๆโครงกระดูก เพื่อตรวจหาหลักฐานต่างๆ ที่อาจจะพบขึ้นอีก ซึ่งมันก็ไม่ทำให้พรานเบผิดหวัง เพราะปลายเท้าข้างนั้น ได้เตะสะกิดเข้ากับวัตถุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกฝั่งไว้ในพื้นดินตื้นๆ 

      วัตถุลักษณะหยุ่นๆแต่ดูแข็งกระด้าง ครั้งแรกพรานนำทางคิดว่าเป็นเปลือกหรือรากไม้ ที่จมอยู่ใต้ดิน แต่เมื่อก้มพิจารณา และส่องไฟดูดีๆ จึงมองเห็นว่า มันเป็นแผ่นหนังเก่าๆ สีคล้ำ ส่วนที่มองเห็นเป็นแผ่นใหญ่ขนาดฝ่ามือ ลักษณะขอบแหว่งวิ่น ซึ่งน่าจะเกิดจากสัตว์แทะกิน หรือไม่ก็เปื่อยสลายไปตามกาลเวลา พรานเบใช้มืออีกข้างจับแล้วออกแรงดึง แต่ก็ไม่สามารถฉุดส่วนที่จมลึกลงไปในพื้นดิน ให้ขยับโผล่ออกมาได้ จึงร้องเรียกให้พรานพร ช่วยกันใช้มีดเหน็บค่อยๆขุดแซะ ไล่ลงไปในพื้นดินรอบๆแผ่นหนังนั้น จากนั้น ทั้งสองพรานจึงช่วยกันดึงวัตถุปริศนาออกมา ครั้งนี้มันค่อยๆขยับขึ้นมาช้าๆ ได้ยินเสียงลั่นดัง ปึ้ดๆของรากไม้ ที่อาจจะชอนไชหรือเกี่ยวรั้งวัตถุนั้นไว้จนขาด ทั้งสองช่วยกันออกแรงดึงอยู่ครู่ วัตถุชิ้นนั้นจึงค่อยๆหลุดโผล่ออกมาทั้งกระบิ มีเศษดิน และก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นหลุดร่วง ตกลงไปก้นหลุม ที่อยู่ลึกลงไปเกือบศอก เนื่องมาจากก้นหรือส่วนที่อยู่ด้านล่างก้อนหรือถุงหนังนั้น เปื่อย ขาดเป็นรูโบ๋ เมื่อนั้นเอง ถึงได้รู้ว่า แผ่นหนังที่เห็นในครั้งแรก แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของถุงหนัง ที่มีลักษณะคล้ายๆกับถุงทะเลขนาดย่อม ส่วนที่พรานทั้งสองช่วยกันดึงขึ้นมา เป็นส่วนที่ใช่ปิดด้านบนของย่ามหรือถุงทะเล สภาพภายนอกดูขะมุกขะมอม เก่าคร่ำครึ บางจุดก็เปื่อยขาดเป็นรู มีดิน และรากไม้เกาะเต็มไปหมด พรานพรใช้ปลายมีดเหน็บแหย่แซะไปในรูที่มีเศษดินอัดแน่นอยู่นั้น ครั้งแล้ว วัตถุชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดเท่ากำปั้นสามสี่ก้อน ก็กลิ้งพลูตกลงมา ครั้งแรกพรานพรคิดว่ามันเป็นก้อนหินหรือก้อนดินธรรมดาทั่วๆไป  เพราะว่ามีดินเกาะเกรอะกรัง จนมองไม่เห็นเนื้อแท้ด้านใน แต่เมื่อพรานพรใช้สันมีดเคาะลงไปบนก้อนหินประหลาดนั้น ก็ประกฏเสียงดัง เฉี๊ยะ เหมือนโลหะกระทบกัน เศษดินที่เกาะเคลือบอยู่ที่วัดถุชิ้นนั้น หลุดออกมาเป็นแผ่น เผยให้เห็นเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน

          “ฮึย!”

          “นะ...นะ...นี่...มะ..มัน..ทะ..ทะ...ทองนี่!”พรานพรร้องออกมาเสียงสั่น ด้วยอาการตาเบิกโพรง จับจ้องไปที่วัดถุชิ้นนั้น ซึ่งตอนนี้ กระทบกับแสงของไฟฉาย จนเห็นพื้นผิวสีเหลืองทองอร่าม พรานเบที่นั่งมองอยู่ใกล้ๆ ก็มีอาการตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปเช่นกัน ต่างมองตากันโดยไม่พูดอะไรออกมา พรานเบค่อยๆใช้สันมีดเหน็บของตัวเอง เคาะไปที่ก้อนกระดำกระด่างที่กลิ้งตกอยู่ข้างๆกันอีกก้อน ด้วยมือที่สั่นเทา สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดินที่เกาะเกรอะนั้น ก็ไม่ต่างอะไร จากก้อนแรกที่พรานพรเคาะ ใช่แล้ว มันเป็นก้อนทอง ทองคำแท้ๆทั้งก้อนนั้นเอง

          เสียงกู่โหวกเหวก จากพรานโส่ย ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลำห้วย ทำให้ทั้งสองพรานที่กำลัง งงจังงัง ทำอะไรกันไม่ถูก ให้ได้สติกลับคืนมา พรานเบ สะบัดหน้าไปมาแรงๆเพื่อเรียกสติให้กลับคืน ส่วนพรานพรขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เหมือนกับว่าจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว กับก้อนที่เหลือเหล่านั้น และอีกกี่ก้อนที่อยู่ภายในถุงย่าม ที่สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วห่อทอง พรานเบที่เหมือนว่าจะได้สติกว่าพรานพร ค่อยๆเอนเทสิ่งต่างๆที่อยู่ในถุงหนังนั้นออกมา นอกจากเศษดินและรากไม้ ที่ปะปนมากับก้อนทองที่ภายนอกดูเหมือนก้อนหินก้อนดินอีกหลายสิบก้อนแล้ว ภายในกองวัสดุนั้น ยังพบกับถุงหนังขนาดเล็ก สภาพภายนอกของถุงใบเล็กนี้ดูผ่านๆ ก็ไม่ต่างจากถุงหนังที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก แต่ก็ดูสมบูรณ์กว่า เพราะมองเห็นเส้นเชือกเส้นเล็กๆซึ่งก็อาจจะทำมาจากหนังสัตว์เช่นกัน พันม้วนอยู่ที่บริเวณส่วนที่เดาว่าน่าจะเป็นปากถุง ลักษณะของถุงเป็นกระเปาะ และมีน้ำหนักมากจนผิดปกติ เหมือนว่าจะบรรจุอะไรไว้อยู่ภายใน พรานเบใช้มือบีบคลำ และพลิกถุงหนังขนาดพอดีกับฝ่ามือถุงนั้นไปมา เมื่อสัมผัสภายนอก ก็พอจะเดาได้ว่า ภายในนั้นบรรจุวัดถุอะไรบางอย่าง เป็นก้อนกลมเหมือนลูกแก้ว พรานเบใช้คมบีดค่อยๆเฉือนเส้นเชือกให้ขาดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆเทสิ่งของที่อยู่ภายในออกมากองที่ฝ่ามือ

          “ลูกตะกั่ว”

        “สงสัยจะเป็นลูกปืน”พรานเบว่า พลางหยิบลูกตะกั่วทรงกลม ลูกหนึ่ง ที่มีขี้ตะกรันสีเขียวเกาะเป็นคราบ ขึ้นมาพิจารณา แล้วส่งลูกตะกั่วที่เหลืออยู่ในมือไปให้พรานพร ที่นั่งอยู่ข้างๆ

        “ลูกปืนจริงๆนั่นแหละ”

        “ลูกขนาดนี้ อย่าว่าแต่ เก้ง หรือกวางเลย ถ้าโดนเข้าจังๆ กระทิง หรือ วัวแดง ก็คงทรุด”พรานพรตอบ ขณะเดาะลูกตะกั่วที่ใช้สำหรับทำลูกปืน ขึ้นลงอยู่ในมือ จากนั้นก็เอา ลูกตะกั่วทรงกลมลูกหนึ่ง ไปวางเทียบกับปากลำกล้องปืนที่ค้นพบ ซึ่งขนาดของลูกตะกั่ว เกือบจะพอดีกับรูลำกล้อง ถ้าใช้อะไรแหย่เขี่ยดินที่อุดตันออก ก็คงจะหย่อนลูกตะกั่วลูกนั้นลงได้พอดี ในขณะที่พรานพร พินิจพิเคราะห์ลูกตะกั่วหลายสิบลูกอยู่นั้น พรานเบที่กำลังใช้ปลายมีดกวาดแซะ ดินเพื่อตรวจดูอะไรอีกที่ก้นหลุม ก็พบเข้ากับเขาของสัตว์ชนิดหนึ่ง ลักษณะเหมือนเขาวัว

          “นี่ก็น่าจะเป็นเขนงใส่ดินปืน”

          “แต่จุกตรงปลายน่าจะหายไปแล้ว”พรานเบกล่าว พลางยื่นส่งเขาสัตว์ลักษณะเหมือนเขาวัว สีหม่น ยาวคืบกว่า ให้พรานพร พิจารณาอีกคน

          “แน่นอนอยู่แล้ว เขนงใส่ดินปืน ตรงปลายเขานี่ เอาไว้กรอกดินปืนตรงปากลำกล้อง นี่ตรงปลายนี้มีรูอยู่ด้วย อาจจะมีจุกที่เอาไว้ตวงดินปืนอยู่ด้วย เอ็งลองส่องไฟดูสิ เผื่อจะเจอ”

          “ส่วนตรงโคน น่าจะมีฝาหรือจุกเอาไว้เติมดินปืนลงไป แต่ข้าว่า น่าจะเป็นพวกจุกไม้ หรือไม่ก็พวกหนังสัตว์ แต่คงจะหลุดหรือไม่ก็ผุไปหมดแล้ว”พรานพรตอบ พลางแสดงท่าทางการใช้เขาสัตว์หรือขะเน็งใส่ดินปืน กับลำกล้องปืนที่ค้นพบ จากนั้นก็กล่าวต่อออกมาอีกว่า

          “แล้วเราจะเอายังไงดี”

        “ตะกั่ว กับ เขนงดินปืน ข้าไม่อยากสนใจหรอก ที่สำคัญ ทองพวกนี้ นี่สิ พวกเราจะจัดการกันยังไงดี ถ้าขนไปขายได้ พวกเราคงจะสบายกันไปทั้งชาติ ดูสิ แต่ละก้อน หนักร่วมกิโล”

        “กองทิ้งไว้แบบนี้แหละ คงไม่มีใครเข้ามาขน ไม่ก็ฝั่งไว้ที่เดิมก่อน”

        “พวกเรารีบข้ามไปดูทางโน่นก่อนดีกว่า พวกนั้นเรียกเรามาตั้งนานแล้ว เอาไว้ค่อยไปปรึกษากันอีกที ว่าจะจัดการกันอย่างไร ข้าว่า รีบไปกันเถอะ อย่าเพิ่งไปสนใจอะไรกับของพวกนี้มากเลย”พรานเบว่า พลางเหนี่ยวไหล่พรานพรให้ออกห่าง ซึ่ง บุคคลที่ถูกเหนี่ยวมีอาการเหมือนจะไม่อยากออกจากสิ่งที่ตนเองพบ แต่เมื่อพรานเบร้องเตือน จึงต้องจำใจผละออกมา แต่เพียงแค่พรานพรก้าวตามหลังของพรานเบ ไปได้สามสี่ก้าว เจ้าตัวก็รีบหันกลับมาที่กองสมบัติเหล่านั้น จากนั้น ก็รีบโกยก้อนทองและถุงหนังลงหลุม ณ ตำแหน่งเดิม ที่พวกมันเคยถูกฝังอยู่ แล้วพรานพรก็จัดแจงโกยดินและเศษใบไม้ฝั่งกลบไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังใช้มีดเหน็บ ถากฟันทำเครื่องหมายเอาไว้ ที่บริเวณผิวของลำต้น ของต้นไม้เป็นจุดที่พบโครงกระดูกและถุงหนังที่บรรจุก้อนทองคำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จึงรีบสาวเท้าตามพรานเบไป ซึ่งคนนำทางได้ไต่เส้นเถาวัลย์ลงไปรออยู่ที่ก้นห้วยแล้ว

            หลังจากช่วยกันสุมฟืนเข้าไปในกองไฟเพิ่มเติมเข้าไปอีก ทั้งคู่ก็พากันไต่ขึ้นไปตามตลิ่งห้วยฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีพรรคพวกทั้งหมดยืนคอยอยู่ไม่ไกลออกไปมากนัก แต่เพราะสายหมอกที่ลงจนหนาทึบ ทำให้แลเห็นแต่แสงนวลๆของไฟฉาย ที่สาดส่อง วูบวาบไปมามัวๆ แต่ก็พอจะจับทิศทางของคณะทั้งหมดได้ พรานเบรีบสาวเท้าก้าวยาวๆไปยังตำแหน่งที่พบโครงกระดูก โดยมีพรานพรเดินตามมาติดๆ ไม่กี่อึดใจ ทั้งคู่ก็มายังตำแหน่งที่คณะยืนคอยอยู่

        “มีอะไรหรือทางโน่น นอกจากไอ้กระดูกผีนั่น”

        “ทำไมไปกันนานแท้”พรานโส่ยว่า พลางส่องไฟไปจับอยู่ที่โครงกระดูกอีกร่าง ที่คณะของพรานเฒ่าสำรวจพบ

          “มันมีอะไรที่จะต้องตรวจดูนิดหน่อย เอาไว้ค่อยว่ากันอีกที”

          “แล้วทางนี้ล่ะ เจออยู่แค่โครงเดียวรึ หาดูดีแล้วหรือยัง เผื่อจะเจอกันอีก”พรานพรกล่าว พลางสบสายตากับพรานเบวูบหนึ่ง

        “ไม่มีแล้ว พวกฉันเดินดูจนทั่ว เฉพาะใกล้ๆแถวนี้นะ ไม่กล้าเดินออกไปไกลมาก หมอกมันลงจัดเหลือเกิน เห็นๆกันแบบนี้ ดีไม่ดีจะพาลกันหลงป่ากัน”

        “ใครกันน้อ มานอนตายกันอยู่ที่นี้ คงจะตายมานานแล้วด้วย กระดูกกระเดี๊ยวโทรมหมดแล้ว ถ้าไม่ดูดีๆ เห็นทีแรก ก็คิดว่าท้อนไม้เก่าๆ แต่พอส่องเห็นหัวกระโหลกนี่แหละ ถึงรู้ว่าเป็นกระดูกคน”พรานแปะ ผู้ที่พบโครงกระดูกคนแรกรายงานเร็วปรื๋อ จริงอย่างที่พรานแปะว่า สภาพภายนอกของโครงกระดูกปริศณาอีกโครง ที่เห็นอยู่นี้ ถ้าไม่สังเกตุดีๆ ก็อาจจะมองข้ามผ่านไป เพราะสภาพในต้อนนี้ แทบจะกลืนไปกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติ

        “น่าแปลก”

      “อาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้ ดูสภาพกระดูกพวกนี้แล้ว เก่าพอๆกัน”พรานเบว่า พลางส่องไฟจับไปยังร่างที่ไร้วิญญาณ ซึ่งสภาพของศพ อยู่ในลักษณะนั่งเอนหลังพิงก้อนหินใหญ่ ที่งอกโผล่พ้นออกมาจากพื้นดิน โดยมีหมูหินก้อนขนาดย่อมลงมารายล้อมอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบขึ้นแซมอยู่หนึ่งต้น เยื่องขึ้นไปยังส่วนหน้า ในตำแหน่งทิศทางด้านลำห้วย สภาพภาพโครงกระดูกเก่าคล้ำ ไม่แพ้จากโครงกระดูกฝั่งตรงข้าม ซี่โครงแต่ละซี่ผุกร่อน จนเกือบจะจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ซึ่งตอนนี้มีติดอยู่ให้เห็นกับร่าง นับได้ไม่เกินห้าซี่ แต่ละซี่มีตะไคร่และมอสเกาะเขียวไปหมด ส่วนทางด้านของกระโหลกศรีษะหันตะแคงไปทางซ้ายมือ พอที่จะมองเห็นฟันเป็นซี่ๆที่ยังติดอยู่ห้าหกซี่ แต่ไม่มีกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจจะหลุดหายไป ส่วนแขนทั้งสองข้าง ของโครงกระดูก หลุดกองอยู่กับพื้น มีสภาพแตกหัก และมีบางส่วนจมหายเข้าไปในพื้นดิน พรานแปะอธิบายว่า ก่อนที่จะมาค้นพบนั้น มีกิ่งไม้แห้งตกฟาดลงมา อาจจะทำให้กระดูกแขนและกระดูกบางส่วนแตกหักเสียหายได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีส่วนหรือเปล่า เพราะสภาพกระดูกก็เก่ามาก อาจจะผุพังมาก่อนหน้าแล้ว และส่วนที่ต่ำลงไป ตั้งแต่ระดับเอว ก็จมอยู่ในดินตื้นๆ ซึ่งพื้นที่โดยรอบ ถูกปัดกวาดใบไม้ออกจนโล่งเตียน รัศมีเกือบจะเป็นวงกลม มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าตารางวา พอที่จะสังเกตุเห็นกระดูกขา และกระดูกส่วนปลายเท้าบางชิ้น แต่ที่เป็นจุดเด่นชัด จนทำให้พรานทั้งสอง สะดุดตาก็คือ แท่งโลหะกระดำกระด่าง ที่โผล่พ่นดินออกมาให้เห็นยาวเกือบศอก ลักษณะพาดเฉียงอยู่ในตำแหน่งโคนขาของโครงกระดูกนั้น

        “ลำกล้องปืนอีกแน่ๆ”

        “น่าจะแบบเดียวกันกับอันที่เราเจอฝั่งโน่น”พรานพรกล่าว

        “ทางโน่นก็มีเหมือนกันรึ”

        “ปืนแก๊ปกระมัง”พรานแปะว่า พลางใช้มือลูปคลำไปที่ส่วนของลำกล้องปืนที่โผล่พ้นดินออกมา

        “ปืนคาบศิลา”

        “ปืนที่เขาใช้กันมาก่อนปืนแก๊ป”พรานเบตอบออกมาแผ่วเบา กล่าวจบก็คว้าส่วนปล่ายของลำกล้อง แล้วค่อยๆดึงออกมาจากพื้นดินช้าๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่พรานพรและพรานเบเข้าใจ สิ่งที่ดึงขึ้นมา มันมีสภาพที่ไม่แตกต่างอะไรจากลำกล้องปืน ที่คนทั้งสองค้นพบมาเมื่อหยกๆนี้

        “เป็นแบบนี้เองรึนี่ ไอ้ปืนคาบศิลงศิลา”

        “เกิดมาเพิ่งจะเคยเห็น หน้าตาแปลกแท้ คนสมัยก่อนเข้าไม่ใช้พานท้ายกันหรือไง”เคิ้งกล่าวออกมาซื่อๆ พลางพลิกกลับแท่งโลหะสนิมเขรอะไปมา

      “ปืนบ้านเอ็งสิ ไม่มีพานท้าย”

      “มีโว้ย มันเก่าจนไม่รู้จะกี่สิบปี ไม้คงถูกปลวกกิน หรือไม่ก็ผุไปหมดแล้ว”พรานโส่ยผู้เป็นพ่อร้องบอก พร้อมกับชี้ให้ดูชิ้นส่วนโลหะที่มีรูปร่างโค่งงอแต่มีสนิมเกาะอยู่แดงเถือก ตรงส่วนปลายของโลหะงอๆนั้น พอที่จะมองเห็นก้อนหินสีมอๆหนีบติดอยู่กับชิ้นโลหะ ซึ่งอยู่ในลักษณะชิดกับลำกล้องปืน แล้วก็อธิบายการทำงานให้ผู้เป็นลูกและคนอื่นๆฟัง
   
      “สมัยก่อนมันไม่มีแก๊ปแบบสมัยนี้ เวลาจะยิง เขาก็ง้างนกสับออกมา แบบเดียวกับปืนแก๊ปนั้นแหละ จะต่างกันตรงที่ ปืนแก๊ปแบบเรา นกสับมันจะไปตีแก๊ปให้แตก ปืนถึงจะลั่น”

      “แต่ปืนคาบศิลา เขาใช้หินเหล็กไฟ เป็นตัวจุดฉนวนดินขับ พอเราเหนี่ยวไกปืน ตัวนกสับที่มีหินเหน็บอยู่ มันจะไปตีเข้ากับแผ่นเหล็กแถวๆนี้ ก้อนหินที่ว่า หรือ คนโบราณเขาอาจจะเรียกว่า ศิลา แบบนี้ไงถึงได้เรียกปืนแบบนี้ว่า ปืนคาบศิลา”พรานโส่ยอธิบาย พลางชี้นิ้วบอกตำแหน่งการทำงานต่างๆ

      “ไอ้แผ่นเหล็กที่ว่า คงจะผุไปหมดแล้ว ทีนี่ พอหินมันตีกับแผ่นเหล็ก มันก็จะเกิดสะเก็ดไฟ”

      “พวกเอ็งพอจะเดาได้หรือยัง ว่ามันทำงานยังไง”พรานโส่ยร้องถาม

      “ก็คงจะคือๆกับปืนแก๊ปมั๊ง”

      “สะเก็ดไฟ กระเด็นไปโดนดินขับ แถวๆนี้”เหน๋อว่า พลางชี้นี้ไปที่ตำแหน่งที่มีลักษณะเป็นเดือยยื่นโผล่ออกมาจากส่วนท้ายของลำกล้องปืน ซึ่งตอนนี้ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ก็พอที่จะอนุมานได้ว่า ส่วนนั้นคือนมหนูของปืนแก๊ปหรือปืนคาบศิลายุคโบราณกระบอกนั้น

    “เออ...เอ็งก็ฉลาดนี่หว่า”

    “ถูกต้อง นี่ล่ะการทำงานของมัน ส่วนการบรรจุใส่ลูกก็ไม่ต่างจากปืนแก๊ปที่พวกเราเคยใช้กันเลย ใส่ดินปืน กากมะพร้าว ลูกตะกั่ว แล้วใช้แส้กระทุ้ง พูดถึงแส้ ข้าก็เชื่อว่าน่าจะมี แต่มันคงผุไปหมดแล้ว”พรานโส่ยกล่าว

    “ฉันเคยเห็นในหนัง ยิงกันแต่ละที ควันโขมง”

    “ไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง ครั้งนี่แหละครั้งแรก”เหน๋อว่าออกมา พลางยิ้มแหยๆ

    “มีแค่ปืนอย่างเดียวเหรอ”

    “มันน่าจะมีอย่างอื่นด้วยนะ พวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ พวกมีด ช้อน ชามรามไห อะไรพวกนั้น”พรานแปะร้องถามคณะ

    “น่าจะมี แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ทางฝั่งข้า ยังเจอพวกเขนงใส่ดินปืน กับลูกตะกั่วเลย”

    “ข้าว่า ถ้าขุดดูแถวๆนี้ ก็คงเจอไม่ต่างกัน เพราะตรงนี้ก็มีปืน ถ้ามีปืนก็ต้องมีขะเน็งกับลูกตะกั่ว คนตายคงไม่แบกแต่ปืนเปล่าๆมาด้วย”สิ้นเสียงของพรานเบ ทั้งหมดยกเว้นพรานพร ก็คราง ฮือ ออกมาพร้อมๆกัน และไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ต่างช่วยกันใช้มีดเหน็บที่มีติดตัวมาด้วย ทิ่มแทง ขุดแซะ ไปตามพื้นดินที่มีสภาพร่วนซุย บริเวณรอบๆโครงกระดูกปริศนา ไล่ตั้งแต่ผนังหิน ที่ศพตายซากเอนพิงหลังอยู่ จรดไปจนถึงปลายเท้า แต่จังหวะที่พรานแปะกำลังก้มหน้าก้มตา ใช้ปลายมีดแซะอยู่ที่บริเวณก้อนหินใหญ่นั้นเอง ด้วยความที่ไม่ได้ระมัดระวัง ทำให้ข้อศอกของพรานแปะไปกระทุ้งโดนส่วนที่เป็นหัวกระโหลก ซึ่งอยู่ในสภาพเก่าคร่ำครึและไม่แข็งแรงอยู่แล้ว พอมีอะไรไปสะกิดเข้านิดหน่อย ก็พลัดตกลงมากลิ้งขลุกๆ ไปทางปลายเท้า ที่เหน๋อและเจ้าเคิ้งกำลังยงโย่ยงหยก ขุดขุ่ย หาอะไรต่อมิอะไรอยู่บริเวณนั้นพอดี คนที่ตาขาวที่สุดของคณะ ยังไม่ทันหายจากอาการผวา จากเหตุการณ์ก่อนหน้า พอมองเห็นอะไรบางอย่างกลิ้งมาสะกิดที่ปลายเท้า ก็ร้องจ๊าก พลางเผ่นพรวดพราด ไปอย่างไม่ดูทิศไม่ดูทาง จนชนประทะเข้ากับเจ้าเคิ้งที่นั่งขวางอยู่ด้านหน้าอย่างจัง ทำให้ล้มกลิ้งหลุนๆเป็นลูกขนุนไปทั้งคู่ พอลุกขึ้นตั้งหลักได้ ก็ทำท่าว่าจะเผ่นเตลิดไปอีก แต่โชคยังดี ที่พรานเบกำลังเดินส่องไฟสำรวจบริเวณนั้นอยู่พอดี รีบกระโจนไปคว้าคอเจ้าเหน๋อไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

      เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โครกระดูกอีกร่างที่ค้นพบจะบอกความเป็นมาได้หรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป

        ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
แก้ไข 21 ก.ค. 64, 11:51
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024