สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 19 เม.ย. 67
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน พรานอึ่ง : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 12 - [28 ก.ย. 58, 21:46] ดู: 6,081 - [19 เม.ย. 67, 00:36] ติดตาม: 1 โหวต: 8
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน พรานอึ่ง
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
24 ก.ย. 58, 09:35
1
เรื่องสั้น ชุด ครัวกลางไพร ตอน พรานอึ่ง
ภาพที่ 1
พรานอึ่ง

          ที่จั่วหัวมาแบบนี้ว่าพรานอึ่ง จริงๆแล้ว พรานที่ว่าไม่ได้ชื่อ อึ่ง นะครับ อึ่งในที่นี้หมายถึง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หน้าตามู่ทู่ไปทางกบและเขียด  แต่จะหล่อสู้กบเขียดได้หรือเปล่านั้น ตรงนี้ต้องพิจารณากันเอาเอง พรานอึ่งที่ผมว่า มีนามว่า ตาเพ็ญ จริงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นพรานอะไรหรอกครับ แต่ผมยกย่องให้แกเป็นนายพราน เพราะในตอนนั้น แกเป็นคนที่หากินเก่งกว่าชาวบ้านชาวช่อง ซึ่งไม่มีใครสู้แกได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ทอดแห ดักข่าย วิดปลา ปักเบ็ด คือเรื่องที่หากินทางน้ำ แกจะมีความถนัดเป็นพิเศษ ตาเพ็ญ แกมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ไอ้จ๊อด ซึ่งมันนี่ล่ะก็เป็นเพื่อนผมอีกคน แต่ตอนอยู่โรงเรียนประถมด้วยกัน ครูใหญ่ มักจะเรียกมันว่า ไอ้นิ่ม ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมในตอนนั้น ครูใหญ่ถึงเรียกไอ้จ๊อด ว่า ไอ้นิ่ม ซึ่งมันขัดกับขนาดความใหญ่โตของตัวมัน จริงๆควรจะเรียกมันว่า ไอ้ยักษ์ ถึงจะถูก

ไอ้จ๊อดมาเรียนอยู่ห้องเดียวกับผมต้อนอยู่ชั้น ป.5 แต่พอผมขึ้น ป.6 มันก็ยังอยู่ชั้น ป.5 และพอผมจบชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 มันก็ยังอยู่ชั้น ป.5 เหมือนเดิม เรียกได้ว่าเป็นปู่โสมของโรงเรียนเลยที่เดียว ตัวมันใหญ่ราวกับยักษ์ เลยไม่มีใครกล้าหือ หรือมีเรื่องกับมัน ทุกๆปี มันเลยได้เป็นหัวหน้าห้องเสมอมา เพราะเหตุนี้กระมัง ครูใหญ่ ถึงเรียกมันว่า ไอ้นิ่ม แต่ผมไม่เคยล้อมันเลยนะครับ ก็เรียกว่า ไอ้จ๊อด เหมือนเดิม จะล้อก็ตรงชื่อพ่อแม่มันนั้นล่ะ เพราะความคะนองปากในตอนนั้น แม่ไอ้จ๊อด ชื่อ ยายภา แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุใด ทำให้ตาเพ็ญไปได้เมียใหม่มาอีกคน ชื่อ ยายนา อาจจะเป็นไปได้ว่า ยายนา หลงเสน่ห์ ตาเพ็ญที่รูปร่างหน้าตา หรือ วิชาการหากินของแก ก็ไม่อาจทราบได้ แต่จะว่าหล่อผมก็ว่าไม่นะ เพราะตาเพ็ญชอบไว้หนวดไว้เครา นี่ถ้าไว้ผมยาวๆรุงรังๆ คงไม่ต่างจาก องคุลีมาล ไหนๆผมก็ล้อชื่อพ่อชื่อแม่มันแล้ว เลยถือโอกาสล้อมันเลยทีเดียวในเวลาเดียวกันว่า เพ็ญพาไปนา นี่ถ้าตาเพ็ญเกิดได้เมียที่ชื่อ ยายไป อีกสักคน คงจะลงล็อคพอดิบพอดี

เข้าต้นเดือนพฤษภาคม เมฆฝนตั้งเค้ามาดำทะมึน มันลอยเกาะกลุ่มมาจากทิศตะวันออก ลมพัดตีเศษใบไม้และฝุ่นจนฟุ้งกระจายไปทั่ว พร้อมกับแสงฟ้าแลบแปรบปราบอยู่ไกลๆ จากนั้นไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ตกราวกับฟ้ารั่ว เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงป้าง ดังอึกทึกไปทุกหนแห่ง มันตกอยู่แบบนี้นานเป็นชั่วโมง ตั้งแต่ราวๆ สักสี่โมงเย็น ไปจนถึงหกโมงเย็น ฝนที่ว่าถึงจะลงเม็ดเปาะแปะ อากาศเริ่มเย็น เพราะผลพวงของหยาดน้ำฝนและละอองหมอก ตามถนนหนทางมีแต่สายน้ำขุนแดงคลักเจิ่งนองไปทั่ว เพราะตอนนั้นเส้นทางยังเป็นถนนลูกรัง สีของน้ำที่ไหลตามไหล่ทาง จึงเป็นสีแดงส้ม ราวกับสีของน้ำชานมเย็น ตามหุบห้วย น้ำป่าไหลบ่ามาเป็นระรอกคลื่น สายน้ำที่เชียวกรากพัดพาเศษดิน และเศษกิ่งไม้ใบหญ้ามาทับถมกันเป็นจำนวนมาก แลดูปั่นป่วนไปหมด ตามห้วยหนองคลองบึง หรือที่ลุ่มก็มีแต่น้ำเจิ่งนองท่วมขัง กบเขียดพากันร้องระงมทุ่งไปหมด

ในวัยนั้น ผมยังไม่รู้วิธีการหากินมากสักเท่าไหร่ จะเป็นอยู่อย่างเดียวคือ หาปลา ที่พอจะได้ตัวกับเข้ามาโชว์คนที่บ้านบ้าง เช่น ตกปลา ปักเบ็ด ลงข่าย ก่อนฟ้าจะมืดลงเล็กน้อยของวันนั้น ขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่หน้าบ้าน  ไอ้จ๊อด ก็แหกปากร้องเรียกผมจากรั้วหน้าบ้าน มันมากับตาเพ็ญ พร้อมกับของพะรุงพะรังไปหมด ไม่ว่าจะเป็น สวิงด้ามยาวเฟื้อย กระสอบถุงปุ๋ยที่พับเหน็บอยู่หน้าตะกร้ารถ ย่ามสะพาย มองผ่านๆผมก็รู้ได้ทันทีว่า สองพ่อลูกจะต้องไปหาจับอึ่งแน่ๆ แค่เห็นไฟคาดหัวของตาเพ็ญก็เดาได้ไม่ยากแล้ว

“วู้”

“เฮ้ย พวก ไปหาอึ่งกัน”ไอ้จ๊อดป้องปากตะโกนเรียกผมอยู่หน้าบ้าน

“ไปยังไง”

“ฟืนไฟอะไรก็ไม่มีกับเขา”ผมร้องตอบ หลังจากชะเง้อหัว ยื่นหน้าออกมาจากช่องหน้าต่าง

“ไม่มีก็ไม่เป็นไร”

“ไปเป็นเพื่อนกัน ไหนว่าอยากไป อุตสาห์มารับแล้ว”ไอ้จ๊อดร้องตอบ ซึ่งจริงๆก็ถูกของมัน เพราะผมเคยบอกมันว่าอยากไปหาอึ่งดูสักครั้ง แต่ผมไม่คิดว่าจะได้ไปรวดเร็วสมใจคิดขนาดนี้ เพราะเพิ่งจะคุยกับมันไม่ถึงสามวัน อุปกรณ์อะไรหรือก็ไม่มี ไม่มีแม้แต่รองเท้าบูท แต่ในเมื่อเพื่อนเกลอลงทุนมารับถึงหน้าบ้านขนาดนี้ แถมตาเพ็ญก็กวักมือเรียกยิกๆเร่งให้มาเร็วๆ ก็จำเป็นต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนไป แม่ผมยังอุตสาห์ บากหน้าไปขอยืมรองเท้าบูทจากคนข้างบ้านมาให้ เพราะกลัวว่าจะโดนตะขาบ หรืองู ล่อหน้าแข้งเอาเสียก่อน

“ไฟฉายข้ามี”

“เดี๋ยวให้ยืมก่อน”ไอ้จ๊อดร้องบอก ก่อนจะดันผมให้ขึ้นค้อมรถ ซูซูกิ อาร์ซี 80 สีเขียวเข้ม ของตาเพ็ญ ส่วนตัวมันเองนั่งปิดท้ายห้อยขาที่ยาวเก้งก้างของมัน

“มาไวแท้ ข้าวปลายังไม่ได้กินเลยนะนี่ น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ”

“จะกลับกันตอนไหน หิวข้าวแน่เลย”ผมร้องบอกอย่างกังวน

“ห่อมาเผื่อแล้ว”

“อยู่ในย่ามนี้ไง”ไอ้จ๊อดร้องตอบ พลางชูย่ามให้ผมดู ผมคว้ามาเปิดดูเห็นมีแต่ข้าวสวยอยู่ถุงหนึ่ง กะๆดูแล้วนั่งกินกันสามคนก็น่าจะพอ แต่มองไม่เห็นห่อกับข้าวอะไรเลย เห็นมีแต่พริกเกลือถุงเดียว ไม่รู้ว่าจะเอาไปกินกับมะขามหรือมะม่วงเปรี้ยวที่ไหน แล้วก็น้ำเปล่าขวดใหญ่ ที่ใส่อยู่ในขวดน้ำอัดลมขนาดลิตรครึ่ง ในย่ามขวดหนึ่งและที่แขวนอยู่หน้ารถอีกขวด และที่ขาดไม่ได้สำหรับตาเพ็ญ ก็คือยาแก้หนาว ไอ้ยาที่ผมว่านี่ก็คือ เหล้าเซี่ยงชุน ของโปรดของตาเพ็ญนั้นเอง

เพียงแค่ขับรถออกจากบ้านไม่กี่สิบเมตร ตาเพ็ญที่ขวบมอเตอร์ไซค์คันเก่าของแก ก็เบรกจนตัวโก่ง พร้อมกับไอ้จ๊อด ที่กระโดดตุบวิ่งไปไล่ตะครุบ อึ่งอ่าง ที่กระโดดอยู่บนถนนหลายตัว บางตัวก็หมอบนิ่ง บางตัวก็กระโดดหลบลงข้างทาง ทำให้ผมเกิดนึกสนุก เลยวิ่งตามไปไล่จับอีกคน

“น่าสนุกดีวะเฮ้ย”

“ออกมาเดี๋ยวเดียวก็ได้จับอึ่งแล้ว”ผมร้องบอกด้วยความตื่นเต้น ละคนกับความสนุกสนาน

“ไอ้ตัวนี้อึ่งอะไรวะ”

“อือหือ ยางเต็มมือเหนียวไปหมด”ผมร้องถาม

“อึ่งยาง”

“กระดูกกรอบเลยตัวนี้”ตาเพ็ญตอบยิ้มๆ พลางส่องไฟแบตเตอรี่ ที่คาดติดอยู่ที่หัวไปรอบๆไหล่ทาง

“เหมือนที่อยู่ในห้องน้ำเลย”

“กินได้ด้วยรึ”ผมย้ำ

“ได้สิ นั่นล่ะตัวเดียวกันเลย”

“กินได้หมดล่ะ โน่น อีกตัว ตรงขาเอ็ง จะเหยียบอยู่แล้ว”ตาเพ็ญร้องตอบ พลางฉายไฟจี้มาที่ปลายเท้าของผม

“ลุงก็ตาดีแท้”

“แล้วอันนี้อึ่งอะไร หน้าตาตลกดี”ผมร้องถาม ก่อนจะจับอึ่งอ่างในมือ เดินไปส่องจอกับไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของแก

“ตัวนี้เข้าเรียกว่า อึ่งปากขวด บางคนก็เรียก อึ่งโกก”

“แหม่ ไข่เสียด้วยเต็มท้องเลย”ตาเพ็ญกล่าว พลางกลับพลิกอึ่งโกกของแกให้หงายท้อง ก่อนจะชี้ให้ผมดูไข่ของมัน ที่อยู่ในท้อง ลักษณะเป็นสีดำแซมขาว เม็ดเล็กๆอัดแน่นไปหมด

ไล่ตะครุบอึ่งอ่างตามไหล่ทางและบนถนนอยู่พักหนึ่ง ตาเพ็ญก็ไล่ให้ผมกับไอ้จ๊อดขึ้นรถ เพราะจุดหมายปลายทางที่เราจะไป มีอึ่งอ่างให้เราจับมากมายกว่านี้หลายเท่า ตลอดเส้นทางที่เราสามคนผ่าน มักจะหยุดจับอึ่งที่กระโดดอยู่บนถนนเรื่อยๆ เฉพาะที่จับอยู่บนถนน ก็ได้อึ่งรวมกิโลแล้ว มีทั้งอึ่งยาง อึ่งปากขวด หรือบางคนก็เรียกอึ่งโกก ส่วนบางจังหวัดก็เรียกว่าอึ่งเพ้า แล้วแต่ภาคไหนจะเรียกกัน แต่ที่เมืองกาญจน์ เรียกว่า อึ่งปากขวด เพราะลักษณะทู่ๆของปากอึ่ง เหมือนปากขวด คนบ้านผมจึงเรียกแบบนี้ ลำตัวของมันจะสีออกเทาๆผสมน้ำตาล แล้วแต่ขนาดที่จับได้ แต่ที่สังเกตได้คือ ตัวผู้จะเล็กกว่าตัวเมีย และมีอึ่งที่มีลักษณะเหมือนอึ่งยางก็คือ อึ่งข้างลาย ความแตกต่างอยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่มีลายที่ข้างตัวคล้ายๆกัน อึ่งยาง จะมีลักษณะอ้วนกว่า ส่วนหัวก็ดูทู่ๆ แต่อึ่งข้างลาย หุ่นจะเพรียวๆหัวแหลมนิดหน่อย และที่สำคัญ ยางที่มันขับออกมาจากผิวหนังจะน้อยกว่า นอกจากอึ่งอ่าง สารพัดชนิดที่เราไล่จับกันจนสนุกแล้ว กบ เขียด ก็มีอยู่มากมาย บ่อยครั้งที่ผมไล่ตะคุบ แต่ก็พลาดเสียส่วนใหญ่ สู้สองพ่อลูกที่มาด้วยกันไม่ได้เลย

“อีกไกลหรือเปล่าลุงเพ็ญ”

“กว่าจะถึงหนองสระ”ผมร้องถามโชว์เฟอร์ ถึงสถานที่จับอึ่ง

“เลยดงยูคาไปนิดเดียว”

“ได้ยินหรือเปล่าล่ะ อึ่งร้องกันให้แซดไปหมด”ตาเพ็ญร้องตอบ ก่อนจะควบตะบึงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของแกฝ่าดงสาบเสือไปตามทางด่าน

“ลึกลับแท้”

“มืดๆแบบนี้ยังมาถูกอีก”ผมกล่าวด้วยความแปลกใจตามประสาเด็ก

จริงอย่างที่ตาเพ็ญว่า พอพวกเราสามคนเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่จะหาอึ่ง หรือที่ตาเพ็ญ เรียกสถานที่นี้ว่า หนองสระ เสียงของอึ่งอ่าง กบ เขียน ร้องระงมไปหมด แทบจะต้องตะโกนคุยกัน เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของพวกมันมากมายก่ายกองขนาดนี้ ทั้งเสียง โกรกๆๆ ของอึ่งโกกหรืออึ่งปากขวดร้องตามสระน้ำ ผสมกับเสียงดัง อึ่งงง  อ่างงง ของอึ่งยางที่ร้องราวกับจะคอแตกตายเสียให้ได้ ตามริมกอหญ้าที่น้ำท่วมถึง เสียงดัง เว๊ปๆๆๆ ของอึ่งข้างลาย ก็ร้องระรัวไม่แพ้กัน กบ เขียด ไม่ต้องพูดถึง มากมายเหนือคณานับ

“เอ็งเฝ้ารถอยู่นี่ก่อนนะ”

“ข้ากับพ่อข้าจะไปหาส่องอึ่งก่อน”ไอ้จ๊อดร้องบอกก่อนที่จะปรึกษาผมเสียอีก ว่าผมอยากจะอยู่คนเดียวหรือเปล่า

“ไม่เอากลัว”

“มืดก็มืด ใครจะกล้าอยู่ ไฟฉายก็ไม่มี”ผมร้องบอกทำเสียงน่าสงสาร โธ่ จะไม่ให้กลัวได้ยังไงล่ะครับ มืดก็มืด แถมตอนนั้นผมก็ยังเด็กอยู่ด้วย มองไปทางไหนก็มืดไปหมด มีแต่เงาตะคุ้มๆทั้งนั้น จะแหกปากร้องตะโกนอะไรไป ก็คงไม่มีใครได้ยินเสียง เพราะเสียงอึ่งอ่างร้องระงมกลบเสียงไปหมด

“ไม่ทิ้งไฟฉายให้”

“ก่อไฟให้สักกองก็ยังดี ลุงเพ็ญ”ผมร้องบอกพลางทำหน้าน่าสงสาร ตาเพ็ญได้ยิน ก็ได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆ แต่ก็ต้องจำยอมเสียเวลาก่อไฟให้ผมจนได้ แต่กว่าจะได้กองไฟสักกองก็ยากเย็นแสนเข็น เพราะฝนเพิ่งลงมาใหม่ๆ ฟืนที่จะเอามาก่อไฟจึงหายาก ต้องให้ไอ้จ๊อดไปโหนล้มต้นยูคาลิปตัส ที่ยืนต้นตายมาทำฟืน พอมีกองไฟ มีแสงสว่างผมถึงจะหยุดงอแง

“รออยู่นี่นา”

“อย่าออกไปไหน เดี๋ยวพวกลักรถ”ตาเพ็ญกำชับ พูดจบก็เดินส่องไฟหายเข้าไปในความมืด ปล่อยให้ผมนั่งหัวโด่อยู่คนเดียว

“กลับมาเร็วๆนะ”

“เริ่มหิวข้าวแล้ว”ผมป้องปากตะโกนไล่หลังคนทั้งสอง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ยินเสียงผมหรือเปล่า

ผมนั่งจับเจ่าอยู่บนเบาะรถจนเมื่อยไปหมด จะว่าเบื่อก็ได้ เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่ง และคอยเติมเชื้อไฟไม่ให้ดับ เพราะถ้าปล่อยให้ดับ มันจะมืดมองอะไรไม่เห็นในทันที อากาศก็ชักจะเย็นยะเยือกมากขึ้นทุกที เสียงแปลกๆก็เริ่มให้ได้ยินมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงปาดที่ร้องงึมงำ ราวกับเสียงคนบ่นบนยอดไม้ เห็นเงาอะไรไหววูบวาบก็พานให้หลอนตัวเองไปหมด

เวลาผ่านไปมากขึ้นเรื่อยๆ ร่วมชั่วโมงที่สองพ่อลูกหายไป และไม่เห็นมีวี่แววว่าจะกลับมา นอกจากเสียงอึ่งอ่างที่ยังคงร้องระงมกันเหมือนเดิน บางจังหวะที่เห็นลำแสงของไฟคาดหัว ที่มองเห็นอยู่วอมแวม เสียงอึ่งบริเวณนั้นก็จะหยุดร้องราวกับนัดกันไว้ แต่พอลำไฟฉายขาดหายไป พวกมันก็พากันร้องตะเบ็งเสียงแข็งกันเช่นเคย

ยิ่งดึก ท้องของผมที่ปราศจากข้าวเย็น ก็พาลไม่รักดี ทั้งลำไส้และกระเพาะอาหาร มันร้องครวญคราง เหมือนจะประท้วงผม ว่าทำไมไม่ส่งเครื่องบรรณาการมาให้สักที ผมได้แต่จิบน้ำแก้หิวไปพลางๆ แต่ก็ฝืนทนหิวไว้ไม่ได้ เลยไปรื้อค้นในย่าม เอาห่อข้าวออกมากิน ผมตักข้าวสวยที่เย็นชืดแบ่งใส่ถุงพลาสติกนิดหนึ่ง กะว่าจะกินข้าวเปล่าๆกับพริกเกลือ นี่ล่ะ เพราะค้นยังไงก็ไม่เจอกับ คิดว่าจะเจอปลากระป๋องสักกระป๋องก็ไม่มี คำสองคำแรกก็อร่อยดีล่ะครับข้าวกับพริกเกลือ พอคำที่สี่ที่ห้าชักไม่ไหว มันกระเดือกไม่ลงจริงๆ ได้แต่มองไปรอบๆ เผื่อจะเจอยอดกระถินมาแกล้มบ้างน่าจะเข้าท่า แต่พยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เผอิญเหลือบไปเห็นอึ่งปากขวดสองตัวกำลังกระโดดอยู่ด้องแด้ง ข้างกองฟืน ก็เลยคิดอะไรออก ผมรีบไล่ตะคลุบทันที จับได้แล้วก็นึกท่อง สัพเพ สัตตา อยู่ในใจก่อนจะจับพวกมันสองตัวเคาะไปที่ท่อนฟืน ผมใช้น้ำที่ขังตามแอ่งเล็กๆ ล้างทำความสะอาดแบบลวกๆ พอเป็นพิธีไม่ให้เปรอะดินเป็นใช้ได้ เครื่องในอะไรก็ไม่ได้เอาออก เพราะมีดพร้าไม่มีกับเขา ตอนล้างทำความสะอาดถึงได้รู้ว่าเป็นอึ่งไข่ทั้งคู่ จากนั้นผมก็หาหักไม้ขนาดเท่านิ้วชี้ เพื่อมาทำไม้คีบหนีบอึ่งทั้งสองตัวทำเสร็จแล้วถึงได้เอาอึ่งทั้งสองตัวขึ้นย่างไฟ

ความร้อนของกองไฟที่ระอุอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไขมันในตัวอึ่ง ไหลเยิ้มซึมออกมา พอหยดใส่ถ่านแดงๆ ก็ส่งควันและกลิ่นหอมฉุย พลิกย่ายกลับอยู่ไปมาไม่นาน จนน้ำมันหยดใส่กองไฟดัง ฉ่าๆ ผมก็ได้อึ่งปากขวดย่างสุกส่งกลิ่นหอมน่ากิน อึ่งย่างหอมๆกินกับข้าวสวยอร่อยอย่าบอกใคร ยิ่งจิ้มกินกับพริกเกลือที่ติดมาด้วยแล้ว ยิ่งอร่อยเป็นทวีคูณ ผมมาเข้าใจความหมายของพริกเกลือที่ตาเพ็ญพกมาด้วยก็ตอนนี้เอง เรื่องแบบนี้บอกใครก็ไม่เชื่อว่าอร่อย ของอย่างนี้ต้องลองเองถึงจะรู้ ยิ่งส่วนที่เป็นไข่อึ่งย่างพอเกรียมๆพอแห้ง กินแล้วรู้สึก หนึบหนับ มันๆ เป็นส่วนที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เสียอยู่อย่างเดียว กระดูกแข็งไปหน่อย

ผมเพลิดเพลินไปกับอึ่งย่างทั้งสองตัว จนกินหมดไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ปัญหาของผมคือ ข้าวสวยที่ตักยังคงเหลืออยู่เท่าเดิม แทบจะไม่ยุบเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่แทะอึ่งย่างเพรียวๆเสียมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตลอดเวลาที่ผมนั่งอยู่ตรงนั้น มักจะมีอึ่งชะตาขาดโดดมาหาผมเองอยู่เรื่อย ทั้งอึ่งปากขวด อึ่งข้างลาย และอึ่งยาง โดนผมฟาดเรียบ ยกเว้นแต่อึ่งยางเท่านั้นที่ผมไม่กล้ากิน เพราะทำยาก ยางก็ติดมือเลอะไปหมด หลังๆมาผมเลยไม่จับอีกเลย จากอึ่งย่างทั้งสองชนิด ผมพอจะสรุปได้ว่า อึ่งปากขวด หรือ อึ่งโกก อร่อยที่สุด มีข้อเสียอยู่อย่างเดียว ตรงกระดูกของมันแข็งเหลือเกิน ถ้าสับให้ละเอียดก็พอจะเอามาผัดเผ็ดกินได้บ้าง ส่วนอื่นไม่มีที่ติ รองลงมาหน่อย ก็จะเป็นอึ่งข้างลาย ญาติๆของอึ่งยางนั่นล่ะ คุยถึงเรื่องรสชาติไม่ค่อยเท่าไหร่ สู้อึ่งปากขวดไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็มีอยู่คือ กระดูกกรอบ สามารถเคี้ยวกินได้ทั้งตัวเลยก็ว่าได้ นอกจากอึ่งอ่างที่ผมจับย่างกินหลายสิบตัวจนพุงกางแล้ว พวกเขียดก็เข้าท่า ก่อนย่างโรยพริกเกลือสักหน่อย ย่างไฟอ่อนๆให้แห้ง กระดูดกระเดี้ยว นี่เคี้ยวกินได้หมด

“เป็นนี่หว่า”

“ให้มันได้แบบนี้สิ”ตาเพ็ญหัวเราะร่า เมื่อผมเล่าให้แกฟังตอนย่างอึ่งกินกับข้าว

“อร่อยหรือเปล่าล่ะ”

“ได้ย่างเผื่อข้าหรือเปล่า”ไอ้จ๊อดร้องถาม หลังจากเดินแบกถุงปุ๋ยที่ใส่อึ่งมาจนหลังแอ่น

“โอ้ โห”

“ได้เยอะแท้ เป็นสิบโลได้มั้งนี่”ผมร้องออกมาด้วยความตกตะลึง กับกระสอบถุงปุ๋ยซึ่งภายใน มีแต่อึ่งอัดแน่นไปหมด ที่ไอ้จ๊อดเอาตั้งไว้ตรงหน้า

“น่าจะประมาณนั้น”

“เดี๋ยวกินข้าวสักหน่อย ดูดยาสักตัว ข้าว่าจะไปจับต่อ”ตาเพ็ญกล่าว ก่อนที่จะมานั่งยองๆข้างกองไฟ

“ยังจะไปอีกหรือ นี่ก็เยอะแยะแล้ว”

“มีอีกเยอะ คนสั่งข้าไว้ ปีละครั้งสองครั้ง ต้องเอาให้คุ้มหน่อย”ตาเพ็ญร้องบอกก่อนจะล้วงเหล้าเซี่ยงชุนออกมากระดกอึกใหญ่

“ให้ไอ้จ๊อดอยู่เฝ้ารถบ้างนะ”

“ว่าไงไอ้จ๊อด พลัดกันไปบ้าง”ผมหันไปร้องถามเพื่อนเกลอ ซึ่งตอนนี้กำลังจัดแจงเลือกอึ่งขึ้นไม้หนีบเตรียมย่าง ไอ้จ๊อดทำอยู่สามไม้ แต่ละไม้มีแต่อึ่งไข่ล้วนๆ

“ไปเลย”

“ลองแล้วจะรู้เอง”ไอ้จ๊อดพูดจบ ก็ยกอึ่งขึ้นย่างกับไฟ

ก็อร่อยอีกเช่นเคยครับ กับอึ่งย่างฝีมือไอ้จ๊อด ซึ่งวิธีของมันแตกต่างจากผมนิดหน่อย ตรงที่ก่อนย่างมันเอาพริกเกลือมาทาบนตัวอึ่ง มันให้เหตุผลว่า เวลาย่างเครื่องปรุงที่มันทำจะแทรกซึมเข้าไปในตัวอึ่ง อร่อยกว่ามาฉีกจิ้มกินต่างหากแบบที่ผมทำ ก็จริงอย่างที่มันว่าล่ะครับ อร่อยเหมือนกันแต่ผิดกันนิดเดียว แต่ผมคิดว่า ถ้าไม่มีเครื่องปรุง หรือ พริกเกลืออะไรนี่ อึ่งย่างเปล่าๆก็อร่อยแล้วครับ ทั้งหอม ทั้งมัน

“นอกจากย่างกินแล้วทำอะไรกินได้อีก”ผมร้องถามขณะที่กินอึ่งย่างจนปากมัน

“ที่เด็ดๆก็ต้มยำใบมะขามอ่อน”

“หน้านี้เลย ใบมะขามอ่อนเยอะ”ตาเพ็ญเสนอเมนู

“ผัดเผ็ด สับละเอียดๆ อร่อยไม่แพ้กบ”

“แดดเดียวก็เยี่ยม”ไอ้จ๊อดเสวนาบ้าง

“อือหือ แต่ละเมนูน่ากินทั้งนั้น”

“อิ่มหรือยังล่ะลุงเพ็ญ เบาๆหน่อย เดี๋ยวก็เมาเสียก่อน”ผมร้องเร่ง เพราะอยากไปหาส่องอึ่งกับเขาบ้าง ส่วนตาเพ็ญยังคงไม่รีบเร่งอะไรมากนัก หลังจากแกกระดกเหล้าเข้าปากจนเหลือเกือบครึ่งขวด แกก็รื้อฝาครอบแบตเตอรี่ ที่ติดอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของแก จากนั้นก็ถอดสายไฟที่พ่วงติดกับแบตออก ก่อนที่จะเอาแบตเตอรี่ที่ติดรถของแกออกมา แล้วสลับกับแบตเตอรี่ที่เคยใช้ส่องอึ่งอยู่ กลับเข้าไปแทน

“เอานี่”

“ไฟฉายของเอ็ง ข้าเปลี่ยนถ่านให้แล้ว แล้วเอาถ่านไปอีกสองก้อน เผื่อไฟอ่อน”ไอ้จ๊อดร้องบอกก่อนที่จะส่งไฟฉายและถ่านไฟฉายมาให้ผม

“ค่อยดูพ่อข้าให้ดี”

“อย่าเดินห่าง ส่องดูตามพื้นดีๆด้วย ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอ”ไอ้จ๊อดพูดทิ้งท้าย ก่อนจะดุนฟืนเข้าไปในกองไฟ

หลังจากเตรียมตัวอยู่อึดใจ ผมก็ได้ส่องอึ่งเสียที ตาเพ็ญเดินนำทางไปที่สระน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งห่างจากจุดที่จอดรถทิ้งไว้ไม่ไกลนัก เสียงอึ่ง และ กบ เขียด ยังร้องระงมเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่ลดน้อยลงเลย ไฟคาดหัวของนักจับอึ่งคนอื่นๆ ก็พอมองเห็นอยู่ไกลๆบ้างประปราย ตามพื้นดินปนทรายของไร่ยูคาลิปตัส เป็นจะหมายแรกๆ ที่ตาเพ็ญส่องไฟสำรวจ แกส่องกวาดลำแสงวูบวาบไปมา ก็ร้องบอกให้ผมไปจับอึ่งที่นอนหมอบนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งมันห่างจากที่ผมยืนอยู่หลายสิบเมตร มองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นอึ่งที่แกว่า ต้องเดินไปใกล้แล้วมันกระโดดหนี นั้นล่ะถึงจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน

“ตาดีจริงๆ”

“สอนผมหน่อยว่าอันไหนเป็นอึ่ง”ผมร้องถาม

“ตาอึ่งจะออกแดงๆ”

“เห็นหรือเปล่า ตรงนั้นก็ใช้”ตาเพ็ญร้องบอก

“แล้วที่ขาวๆล่ะ”

“ตรงนั้น ตาอึ่ง หรือ ตาเขียด”ผมร้องมาอีก

“อันนั้นตาแมงมุม”

“ตาเขียดมันจะวาวๆแบบนี้”ตาเพ็ญกล่าวพร้อมกับส่องไฟไปที่เขียดที่หมอบนิ่งอยู่ที่รอยตีนวัว

หลังจากได้เรียนรู้เรื่องการส่องไฟกับตาเพ็ญแล้ว แกก็พาผมเดินเลอะไปตามสระน้ำ เพราะรอบแรกแกไล่ส่องอึ่งแห้งไปแล้ว ส่วนตัวแกเองเดินลุยลงไปในส่วนที่ลึกกว่า น้ำลึกราวๆเอวเห็นจะได้ ผมเห็นแล้วก็ทึ่งในความไวของแก อึ่งโกก ที่ร้องตัวพองอยู่บนผิวน้ำ พอเดินเข้าไปไกลก็รีบมุดน้ำหนี แต่ตาเพ็ญก็ยังสามารถใช้มือคว้าเอาไว้ได้ ส่วนตัวไหนที่อยู่ไกลออกไป ตาเพ็ญก็ใช้สวิงที่ต่อด้ามยาวหลายวา ไล่ตักช้อนอึ่ง ดูแล้วเพลินไปอีกแบบ

ผมมารู้ทีหลัวว่า วิธีการจับอึ่งสามารถแบ่งออกได้ด้วยกันใหญ่ๆสองแบบด้วยกัน อย่างแรก ถ้าฝนตกลงมาใหม่ๆแบบนี้ อึ่งมักจะรีบลงหนองก่อนพลบค่ำ ช่วงเวลานี้จะจับอึ่งง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินลุยน้ำจับให้ยาก วิธีนี้เรียกว่า การจับอึ่งแห้ง เพราะอึ่งเพิ่งจะโผล่หรืออกมาจากที่ซ่อน ตัวไหนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ง่ายไป ตัวไหนที่อยู่ไกลก็ต้องออกแรงกระโดดกันหน่อย อึ่งบางตัวผมคิดว่าต้องเสียเวลาเดินทางร่วมกิโลเลยทีเดียว กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง และอีกวิธีคือ จับอึ่งหนอง หรือบางคนก็ว่าอึ่งเปียก คืออึ่งที่ลงบ่อน้ำไปแล้ว วิธีนี้ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวกันเสียหน่อย เนื่องจากต้องวัดกันด้วยความไว ระหว่างอึ่ง กับ คน

ผมเองก็ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาส่องไฟฉายอยู่ใกล้ๆแก เพราะไม่เคยเดินหาอึ่ง ก็เลยไม่กล้าห่างแกสักเท่าไหร่ มีอึ่งไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ที่ผมส่องแล้วจับด้วยตัวเอง ส่วนมากจะเป็นตาเพ็ญมากกว่าที่ค่อยส่องไฟบอกตลอด ผมฟลุค ได้กบมาคู่หนึ่ง ที่บอกได้เป็นคู่ เพราะบังเอิญเห็นมันจับคู่กันอยู่ในพงหญ้า มันพยายามหนีผมแล้ว แต่ไอ้ตัวผู้ที่เกาะติดหลังตัวเมียแน่น ทำให้มันหนีไม่สะดวก ช่วงนี้ อึ่งเริ่มกอดคู่กันแล้ว เวลาตาเพ็ญส่องไฟตามริมตลิ่ง หรือ ตามพงรกริมน้ำ มักจะเจออึ่งจับคู่กัน เวลาจับได้แต่ละที ก็จะได้เป็นคู่ๆเสมอ เวลาไม่นาน ถุงปุ๋ยใบที่สองก็จะเต็มอีกใบ ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปถ่ายเปลี่ยนใบใหม่อยู่เรื่อย คืนนั้นทั้งคืน น่าจะได้อึ่งรวมห้าสิบกิโล ถือว่าเยอะมากสำหรับผม

เวลาล่วงเลยตีหนึ่งไปมากแล้ว ความสนุกของผมเริ่มเปลี่ยนเป็นความง่วง ไอ้จ๊อดก็ง่วง เพราะล่ออึ่งย่างกับข้าวไปจนพุงกาง หนังทองตึงหนังตาก็พลอยไม่ทำงาน มันจ้องจะปิดเสียให้ได้ ถึงตอนนี้ เราทั้งสามคนจึงต้องถอนสมอ ถอยทับกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง ก่อนกลับ ผมยังได้ส่วนแบ่งเป็นอึ่งปากขวด หรือ อึ่งโกก และอึ่งข้างลายอีกครึ่งถังสี กะด้วยสายตาก็น่าจะไม่ต่ำกว่า ห้ากิโลเห็นจะได้ ถือว่าได้มากพอสำหรับเด็กแบบผมในสมัยนั้น คืนนั้นก่อนผมล้มตัวลงนอน หูยังคงแววเสียงอึ่งอ่างร้องระงมทุ่ง ผสมกับเสียงสายฝนดังเปาะแปะบนหลังคามุงกระเบื้อง คละเคล้ากับกลิ่นอึ่งย่างอ่อนๆที่ยังคงหอมฟุ้งอยู่ในมโนจิตร  สำหรับไอ้จ๊อด มันก็คงนอนยิ้มฝันหวาน ถึงรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ของมัน ในวันพรุ่งนี้


จบเรื่องสั้น ชุดครัวกลางไพร ตอน พรานอึ่ง  ขอขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามผลงาน
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024